ในปัจจุบัน วงการแพทย์พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว เทคโนโลยีใหม่ๆ ถูกคิดค้นขึ้นเพื่อรักษาโรคต่างๆ สเต็มเซลล์ กลายเป็นหนึ่งในความหวังใหม่ในการรักษาโรคที่ยากต่อการรักษา บทความนี้จะพาทุกท่านไปรู้จักกับสเต็มเซลล์ ประเภทของสเต็มเซลล์ กลไกการทำงาน สเต็มเซลล์รักษาโรคอะไรได้บ้าง ข้อดี ข้อจำกัด และอนาคตของการรักษาด้วยสเต็มเซลล์
ประเภทของสเต็มเซลล์
สเต็มเซลล์แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ดังนี้
สเต็มเซลล์ตัวอ่อน (Embryonic Stem Cells): สกัดจากตัวอ่อนมนุษย์ในระยะแรกของการพัฒนา มีศักยภาพสูง สามารถเปลี่ยนแปลงเป็นเซลล์ชนิดต่างๆ ของร่างกายได้
สเต็มเซลล์วัยผู้ใหญ่ (Adult Stem Cells): พบในเนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกาย เช่น ไขกระดูก ไขมัน เลือด มีศักยภาพจำกัด สามารถเปลี่ยนแปลงเป็นเซลล์ชนิดใกล้เคียงกับเซลล์ต้นกำเนิดได้
กลไกการทำงานของสเต็มเซลล์ในการรักษาโรค
สเต็มเซลล์รักษาโรคโดยกลไกดังต่อไปนี้
แทนที่เซลล์ที่เสื่อมหรือตาย: สเต็มเซลล์สามารถเปลี่ยนแปลงเป็นเซลล์ชนิดที่เสียหาย ทดแทนเซลล์ที่เสื่อมหรือตายไป
กระตุ้นการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ: สเต็มเซลล์หลั่งสารต่างๆ กระตุ้นให้เซลล์ในบริเวณใกล้เคียงซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสียหาย
ลดการอักเสบ: สเต็มเซลล์มีฤทธิ์ลดการอักเสบ ช่วยให้เนื้อเยื่อที่เสียหายฟื้นฟูได้เร็วขึ้น
โรคอะไรบ้างที่รักษาด้วยสเต็มเซลล์
ปัจจุบันมีการใช้สเต็มเซลล์รักษาโรคต่างๆ ดังนี้
โรคเลือด: โรคลูคีเมีย โรคธาเลสซีเมีย โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง
โรคมะเร็ง: มะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งสมอง มะเร็งปอด
โรคหัวใจ: กล้ามเนื้อหัวใจตาย หัวใจวาย
โรคสมอง: โรคหลอดเลือดสมองอุดตัน โรคพาร์กินสัน โรคอัลไซเมอร์
โรคกระดูกและข้อ: โรคข้ออักเสบ โรคกระดูกพรุน
โรคผิวหนัง: แผลไฟไหม้ แผลเรื้อรัง
โรคอื่นๆ: โรคเบาหวาน โรคตับ โรคไต
ข้อดีของการรักษาด้วยสเต็มเซลล์
มีประสิทธิภาพ: รักษาโรคที่ยากต่อการรักษาด้วยวิธีอื่นๆ
ปลอดภัย: ใช้เซลล์ของผู้ป่วยเอง ลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน
เป็นการรักษาที่ถาวร: เซลล์ที่ปลูกถ่ายเข้าไปสามารถทำงานและผลิตเซลล์ใหม่ได้ตลอดชีวิต
|