Peter Pan Syndrome อาการ ผู้ใหญ่ ที่มีลักษณะนิสัยเด็ก
เคยรู้สึกไหมว่า แม้จะผ่านช่วงวัยเด็กมา และโตเป็น ผู้ใหญ่ แล้ว เรายังรู้สึกเหมือนเป็นเด็กอยู่ดี รู้สึกว่ายังไม่โต และบางครั้งรู้สึกว่าไม่อยากโตเลย ถ้าเคย คุณอาจกำลังมีอาการของ Peter Pan Syndrome อยู่ก็ได้นะ ถ้าใครมีอาการนี้อยู่ เราอยากบอกว่า มันสามารถส่งผลเสียความสัมพันธ์และการทำงานของเราได้อย่างหนักหน่วงเลยทีเดียว Peter Pan Syndrome คืออะไร ? แล้วคนที่เป็น Peter Pan Syndrome จะสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ไหม ? ลองอ่านบทความต่อไปเดียวเราจะอธิบายให้ฟัง
พ่อแม่รังแกฉัน
ในปัจจุบันเชื่อว่ามีหลายครอบครัวที่ถูกพ่อแม่เลี้ยงดูแบบตามใจ ไม่ว่าลูกจะขออะไรก็หามาให้ลูกทุกอย่าง ตามใจลูกตลอด แม้แต่ลูกทำผิดก็ไม่ลงโทษ รู้หรือไม่ว่า พฤติกรรมการเลี้ยงดูลูกดังกล่าวนี้เป็นความผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ของพ่อแม่ที่ส่งผลกระทบต่อลูกในอนาคต การเลี้ยงดูแบบตามใจนั้นส่งผลกระทบต่อลูกในอนาคตดังนี้
-
ขาดทักษะในการแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง
-
ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้
-
เป็นคนไม่มีระเบียบวินัย
-
เอาแต่ใจตัวเอง คิดว่าตัวเองมีศูนย์กลางของจักรวาล
เห็นไหมคะว่าการเลี้ยงดูลูกแบบตามใจไม่ส่งผลดีต่อลูกเราเลย ทำให้เขาไม่รู้จักโตและไม่สามารถแก้ไขปัญหาต่างๆด้วยตัวเองได้ และเป็นสาเหตุให้ลูกของคุณเป็นโรคปีเตอร์ แพน ซินโดรม โดยไม่รู้ตัว
WHAT IS PETER PAN SYNDROME ?
หลายคนน่าจะรู้จักตัวละครปีเตอร์ แพนจากหนังการ์ตูนของวอลท์ ดิสนีย์อยู่แล้ว ซึ่งความโดดเด่นของตัวละครตัวนี้ คือ เป็นเด็กผู้ชายที่ไม่สามารถเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ได้ จึงเป็นที่มาของชื่ออาการ Peter Pan Syndrome ที่ใช้ในการอธิบายผู้ใหญ่ (ส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย) ที่เชื่อว่าตัวเองยังไม่โต ไม่สามารถทำตัวแบบผู้ใหญ่ได้ เรียกได้ว่า มีตัวเป็นผู้ใหญ่แต่ใจเป็นเด็ก ซึ่งสาเหตุที่ทำให้อาการนี้เกิดขึ้นก็มีหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น เติบโตมากับครอบครัวที่เลี้ยงลูกแบบตามใจและปกป้องมากเกินไป กังวลว่าตัวเองจะไม่สามารถหางานได้ ไม่สามารถหาเงินได้ หรือ ไม่สามารถทำในสิ่งที่ผู้ใหญ่คนอื่นทำได้ กลัวความโดดเดี่ยวเลยต้องหาใครสักคนมาเป็นผู้ช่วยเหลือเสมอ กลัวการผูกมัด และมักคบกันคนที่อายุน้อยกว่าจะได้ไม่ต้องคิดถึงเรื่องอนาคตมาก เป็นโรคหลงตัวเอง รวมถึง สภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ก็ส่งผลให้คนไม่มีแรงจูงใจในการหางาน และมีอาการ Peter Pan Syndrome ได้เหมือนกัน
หลายคนที่เป็น Peter Pan Syndrome มักมีความสัมพันธ์ที่ไม่ราบรื่น เพราะพวกเขามักไม่ยอมรับผิดชอบงานบ้าน ไม่ยอมล้างจาน ไม่ยอมดูแลลูก ไม่ยอมซักผ้า ไม่ชอบวางแผนอนาคต และมักให้แฟนหรือคนอื่นเป็นคนตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ หรือ ทำอะไรให้ตลอดเวลา ในความสัมพันธ์ เมื่ออีกฝ่ายรู้สึกว่าตัวเองต้องรับภาระเยอะเกินไป จนเกิดความเครียดและความเหนื่อยล้า มันก็อาจนำไปสู่การเลิกลากันได้ในท้ายที่สุด
ในด้านการงาน อาการ Peter Pan Syndrome ก็ส่งผลเสียเหมือนกัน เพราะคนประเภทนี้มักจะไม่มีความพยายามในการทำงาน ชอบอู้งาน ชอบโดดงาน ท้ายที่สุดพวกเขาก็อาจโดนไล่ออกจากงานที่ทำอยู่ได้ เพราะผลงานไม่ดี แถมเวลาเบื่องาน เจอกับปัญหาในที่ทำงาน หรือ เครียดจากการทำงาน พวกเขาก็มักตัดสินใจลาออกกันได้ง่ายด้วย พอพวกเขาเปลี่ยนงานบ่อย และทำงานได้ไม่นาน พวกเขาก็ไม่ได้ใช้เวลาในการทำงานพัฒนาสกิลที่จำเป็นมากพอ
นอกเหนือจากนี้ คนที่เป็น Peter Pan Syndrome ยังขาดทักษะในการควบคุมอารมณ์ตัวเอง พอเจอเรื่องเครียดก็มักจะระเบิดอารมณ์อยู่เสมอ ชอบโทษคนอื่นเมื่อเกิดเรื่องผิดพลาด ไม่สนใจในการพัฒนาทักษะในด้านต่าง ๆ เพื่อให้ตัวเองโตขึ้น รวมถึง คาดหวังให้คนอื่นเอาใจใส่ตัวเองตลอดเวลา บางคนอาจติดเหล้าหรือบุหรี่ เพื่อหลีกหนีความเครียดและความกังวลที่เกิดจากการเป็นผู้ใหญ่ด้วย ทั้งหมดนี้ เราจึงอาจเรียกคนที่เป็น Peter Pan Syndrome ว่าเป็นคนท็อกซิกก็ได้
DEALING WITH PETER PAN SYNDROME
เมื่อคนที่เป็น Peter Pan Syndrome ดูจะล้มเหลวในหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น การทำงาน ความสัมพันธ์ หรือ การใช้ชีวิต มันก็ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองกัน ซึ่งเราได้นำวิธีการเอาชนะอาการ Peter Pan Syndrome มาฝากทุกคนด้วย เริ่มจาก…
เข้าใจก่อนว่าทำไมเราถึงทำตัวเป็นเด็ก
ลองคิดดูว่าทำไมเราถึงหลีกเลี่ยงสิ่งที่ผู้ใหญ่อย่างเราควรทำ เช่น หางานที่มั่นคง รับผิดชอบในงานที่ได้รับ รวมถึงการทำงานบ้าน และมันส่งผลต่อตัวเองและคนรอบข้างอย่างไรบ้าง เมื่อเราเข้าใจสาเหตุ และมองว่ามันเป็นปัญหาแล้ว เราจะหยุดพฤติกรรมนี้ได้ง่ายขึ้น และเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ง่ายขึ้นเช่นกัน แต่ถ้ารู้สึกว่าการถามตัวเองเป็นเรื่องยาก อาจลองขอความช่วยเหลือจากคนในครอบครัว เพื่อน หรือ คนรัก ให้พวกเขาช่วยเตือนสติ และกระตุ้นให้เราทำในสิ่งที่ควรทำ หรือ อาจไปใช้บริการบำบัดก็ได้
พึ่งพาคนอื่นให้น้อยลง
การได้รับความช่วยเหลือจากคนอื่นมากเกินไป เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิด Peter Pan Syndrome ดังนั้น ถ้าเราอยากเอาชนะอาการนี้ เราต้องกล้าที่จะอยู่ด้วยตัวเองมากขึ้น และกล้าตัดความช่วยเหลือที่เราได้รับจากคนอื่น ถ้าเราได้รับความช่วยเหลือด้านการเงินจากใคร หรือ มีใครกำลังทำเรื่องต่าง ๆ ให้เราอยู่ เราต้องกล้าที่จะบอกพวกเขาว่าเราจะไม่รับความช่วยเหลือจากพวกเขาอีกแล้ว มันจะเป็นก้าวแรกที่ช่วยให้เราเลิกเป็น Peter Pan Syndrome ได้
ลงมือทำ
“Actions speak louder than words” ประโยคนี้ใช้ได้เสมอ แม้แต่กับเรื่องการเปลี่ยนแปลงตัวเอง ถ้าเราเอาแต่พูด คิด และค้นคว้าข้อมูลเป็นเวลานาน ไม่ยอมลงมือทำอะไรเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสักที เราก็ไม่มีวันที่จะเลิกเป็น Peter Pan Syndrome ได้ จงจำไว้ว่า การไม่ลงมือทำนั้นแย่กว่าการลงมือทำแล้วได้ผลลัพธ์ที่แย่ เพราะความคืบหน้ามันเกิดขึ้นจากการลงมือทำ ดังนั้น เราเลยต้องกล้าคิด กล้าทำ และกล้าตัดสินใจ ซึ่งการกำหนดเดดไลน์ให้กับงานจะช่วยให้ทุกอย่างมันเร็วขึ้นได้
เมื่อเราเริ่มลงมือทำในสิ่งที่เราไม่คุ้นชิน หรือ สิ่งที่เราเคยกลัว เช่น การตัดสินใจ การอยู่คนเดียว หรือ การรับผิดชอบงาน ในช่วงแรก ๆ เราอาจรู้สึกอึดอัด และไม่สบายใจที่จะทำมันเลย แถมเมื่อเราฝืนทำมันมาก ๆ เราอาจจะรู้สึกเหนื่อย หมดแรงจนล้มเลิกไปในท้ายที่สุดได้เหมือนกัน เราเลยอยากแนะนำว่า ให้เริ่มทำทีละนิดก่อน ลองเลือกพฤติกรรมที่เรากลัวมาหนึ่งอย่าง เช่น การทำงานบ้าน และกำหนดเวลาในการทำมัน เช่น ทำวันละ 15 นาที หรือ 1 ชั่วโมง เมื่อเราคุ้นเคยกับมันแล้ว ค่อยเริ่มฝึกกิจกรรมใหม่
สรุป
อย่างไรก็ตาม การใช้ชีวิตด้วยมายด์เซ็ทของเด็กมันก็ไม่ได้แย่เสมอไป ด้านหนึ่งมันก็ช่วยให้เราสามารถใช้ชีวิตได้แบบมีความสุข ไม่เครียด ไม่กังวลกับอะไรมากเกินไป และสามารถเอนจอยกับชีวิตได้อย่างเต็มที่ เราเลยอยากแนะนำให้ทุกคนบาลานซ์ความเป็นเด็กและความเป็นผู้ใหญ่ในตัว มากกว่ากำจัดความเป็นเด็กทิ้งไป แล้วใช้ชีวิตแบบคิดมากกับทุกเรื่อง
แหล่งที่มา
https://www.unlockmen.com/
https://mydeedees.com/%e0%b8%9c%e0%b8%b9%e0%b9%89%e0%b9%83%e0%b8%ab%e0%b8%8d%e0%b9%88_%e0%b9%83%e0%b8%88%e0%b9%80%e0%b8%9b%e0%b9%87%e0%b8%99%e0%b9%80%e0%b8%94%e0%b9%87%e0%b8%81/
|