[x] ปิดหน้าต่างนี้
Powered by ATOMYMAXSITE 2.5
วิทยาลัยเทคโนโลยีโซ่พิสัย
เมนูหลัก
หน่วยงานในวิทยาลัย
ข้อมูลพื้นฐานวิทยาลัย
งานนโยบายและแผนฯ
ระบบสมาชิก
Username :
Password :
[ สมัครสมาชิก ] | [ ลืมรหัสผ่าน ]
สมาชิกทั้งหมด 84 คน
สมาชิกที่กำลังออนไลน์ 0 คน
หน่วยงานต่างๆ
poll

   คุณคิดว่าเวปนี้เป็นอย่างไร


  1. ดีมาก
  2. ดี
  3. ปานกลาง
  4. แย่
  5. แย่มาก



 

  

   เว็บบอร์ด >> ห้องนั่งเล่น >>
ศธ.ละเมิดสิทธิการศึกษาพระ-เณร ออกระเบียบปิดกั้นนักบวช  VIEW : 117    
โดย หยาด

UID : ไม่มีข้อมูล
โพสแล้ว : 519
ตอบแล้ว :
เพศ :
ระดับ : 18
Exp : 46%
เข้าระบบ :
ออฟไลน์ :
IP : 180.180.232.xxx

 
เมื่อ : พุธ ที่ 2 เดือน สิงหาคม พ.ศ.2566 เวลา 11:59:46    ปักหมุดและแบ่งปัน

ศธ.ละเมิดสิทธิการศึกษาพระ-เณร ออกระเบียบปิดกั้นนักบวชไม่มีเอกสารทางทะเบียนราษฎร

ศธ.ละเมิดสิทธิการศึกษาพระ-เณร ออกระเบียบปิดกั้นนักบวชไม่มีเอกสารทางทะเบียนราษฎร แม้แต่รหัส G ก็ไม่ยอมออกให้ ชี้สร้างบาปทำลายการสืบทอดพุทธศาสนา เจ้าอาวาสเผยต้องแบกภาระหารายได้ส่งเสียสามเณรกำพร้าเรียนหนังสือ

ผู้สื่อข่าวรายงานถึงกรณีที่พบว่าการศึกษาของสามเณรโดยเฉพาะสามเณรไร้รัฐไร้สัญชาติจำนวนมากประสบปัญหาเนื่องจากกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.)ไม่ออกรหัส G สำหรับสามเณรที่ไม่มีเอกสารทางทะเบียนราษฎรแตกต่างจากเด็กนักเรียนในระบบการศึกษาที่เปิดโอกาสให้เด็กนักเรียนไม่มีเอกสารใดๆ สามารถขอรหัสตัว G และได้รับงบสนับสนุนจากรัฐบาล

เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2566 นายสุรพงษ์ กองจันทึก ประธานมูลนิธิผสานวัฒนธรรม เปิดเผยว่า

ปัจจุบันสังคมไทยเปลี่ยนแปลงไปจากอดีต โดยสมัยก่อนคนอยากอ่านออกเขียนได้ต้องบวชเรียนโดยมีวัดเป็นแหล่งเรียนรู้ ต่อมาสมัยรัชกาลที่ 5 ได้ให้วัดพัฒนาสอนคนภายนอกด้วย เราจึงเกิดโรงเรียนวัดเกิดขึ้นจำนวนมาก อย่างไรก็ตามต่อมาการเรียนของสงฆ์ถูกกันออกโดยพระเณรต้องไปเรียนทางธรรม ไม่ให้เรียนทางโลก

นายสุรพงษ์กล่าวว่า แม้กรมศาสนาสังกัดกระทรวงศึกษา การเรียนของพระเณรกลับไม่ถือว่าอยู่ในระบบการศึกษาปกติ ทำให้คนบวชน้อยลงและหันไปเรียนหนังสือในระบบปกติมากขึ้น แต่มีประชาชนอีกกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะผู้ที่ยากไร้และด้อยโอกาส ยังคงใช้ช่องนี้ในการดำรงชีวิตและเรียนหนังสือ โดยพวกเขาคาดหวังว่าจะได้เล่าเรียนเหมือนคนอื่น แต่ปรากฏว่ากระทรวงศึกษาธิการกลับไม่ยอมรับ ขณะที่โรงเรียนวัดบางส่วนได้พัฒนาเอาระบบเอกชนเข้าใช้ กลายเป็นโรงเรียนเอกชนการกุศลโดยมีวัดสนับสนุนรายได้ แต่แทนที่รัฐจะสนับสนุน กลับไม่ดำเนินการช่วยเหลือ ทำให้โรงเรียนเหล่านี้ไม่สามารถเก็บค่าเล่าเรียนได้และรัฐก็ไม่สนับสนุนงบประมาณ

“แม้การศึกษาปกติมีระเบียบออกรหัส G เพื่อสนับสนุนเด็กที่ไม่มีเอกสารทางทะเบียนราษฎรได้เรียนหนังสือ แต่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน(สช.) ระบุว่าไม่ให้กับเด็กที่ไม่มีเลข 13 หลักซึ่งขัดกับกฎหมาย ทำให้พระและสามเณรต้องลำบาก ยังไปออกเป็นระเบียบไว้เลย กลายเป็นปัญหาของสังคมไทย คือวัดเป็นแหล่งให้ความรู้มาโดยตลอด และควรได้รับการสนับสนุน แต่วันนี้กลับไม่ได้รับการส่งเสริมเลย” นายสุรพงษ์ กล่าว

ประธานมูลนิธิผสานวัฒนธรรมกล่าวว่า การแก้ไขปัญหานี้คือ 1 สช.ต้องยกเลิกระเบียนที่ให้สนับสนุนเฉพาะเด็กที่มีเลข 13 หลักและออกรหัส G ให้มีการสนับสนุนสามเณรและพระที่ไม่มีเอกสาร ขณะเดียวกันรัฐไทยต้องเข้าใจด้วยว่าการเรียนรู้เท่าทันทางโลกมีความสำคัญยิ่งสำหรับนักบวช เช่น ความรู้คอมพิวเตอร์ ดังนั้นจึงต้องเปิดโอกาสให้สามเณรและพระสงฆ์ให้เรียนในระบบปกติได้

“สังคมไทยมีศาสนาพุทธเป็นหลัก แต่เรากลับไม่ยอมให้พระสงฆ์และสามเณรได้เข้าสิทธิด้านการศึกษาเหมือนคนปกติ ขนาดพระขึ้นรถโดยสาร เรายังไม่เก็บค่าโดยสารเลย แต่ทำไมพอเป็นเรื่องเรียนกลับไม่สนับสนุนให้พวกท่านได้เรียน ทำไมถึงต้องไปตัดสิทธิของพวกท่าน แทนที่จะเอื้อมากกว่าคนปกติ หรือกรณีที่ท่านมีสถานศึกษาอยู่แล้วก็ควรเทียบวุฒิในระบบได้ ใน พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติต้องการให้ทุกคนได้เรียนหนังสือ แต่กลับจำกัดสิทธิพระเณร ถือว่าเป็นการสร้างบาปยิ่ง” นายสุรพงษ์ กล่าว

ทั้งนี้ผู้สื่อข่าว ลงพื้นที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ และสัมภาษณ์สามเณรชาญ (นามสมมุติ) วัย 10 ขวบ

ซึ่งไม่มีเอกสารทางทะเบียนราษฎร โดยสามเณรชาญเปิดเผยว่า ตนเป็นชาวไทใหญ่เดินทางมาจากรัฐฉาน ประเทศพม่าเมื่อ 4 เดือนก่อน โดยได้บรรพชาที่วัดในรัฐฉานและจำพรรษาเป็นเวลา 2 พรรษา แต่ต่อมาต้องหลบหนีการสู้รบในหมู่บ้านเพราะถูกทหารพม่าทิ้งระเบิด ทำให้โยมพ่อโยมแม่ต้องอพยพหนีเข้ามาในไทย และตนเองมาจำวัดอยู่ในเชียงใหม่

“ปัจจุบันเข้าเรียนโรงเรียนบาลีแห่งหนึ่ง ไปโรงเรียนแค่ 2 วัน คือวันจันทร์และวันอังคาร ต้องนั่งรถเป็นเวลากว่า 1 ชั่วโมงจากวัดไปเรียนหนังสือในตัวอำเภอเมือง ได้เรียนวิชาสามัญทั่วไป ในวันที่ไม่ต้องไปโรงเรียนได้ศึกษาพระธรรมวินัยกับพระอาจารย์ที่วัด ได้เจอโยมพ่อโยมแม่เดือนละครั้ง เพราะพวกเขาต้องไปทำงาน อนาคตหวังว่าจะได้บวชเรียนต่อไป และไม่ต้องการลาสิกขา” สามเณรชาญกล่าว

ขณะที่พระอธิการสถิตย์ สิริวิชโย เจ้าอาวาสวัดหนองบัว ตำบลช่อแล อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่กล่าวว่า ปัจจุบันมีสามเณรไร้รัฐไร้สัญชาติที่อยู่ในความดูแลประมาณ 20 รูป โดยสามเณรเหล่านี้บรรพชาตั้งแต่อาศัยอยู่ในประเทศพม่า แต่พวกเขาหนีสงครามตามญาติที่เคยอยู่อาศัยในวัดนี้ พระได้ให้การดูแลรับผิดชอบ ค่าน้ำค่าไฟ ค่าเดินทางไปศึกษาเล่าเรียน โดยได้รับแรงศรัทธาจากประชาชนในการบริจาคปัจจัย รวมทั้งญาติ ผู้ปกครอง ของสามเณรให้ความช่วยเหลือ แต่ปัจจุบันก็ไม่มีความเพียงพอ เนื่องจากภาระในการดูแลมีจำนวนมาก

พระอธิการสถิตย์กล่าว ศธ.ละเมิดสิทธิการศึกษาพระ-เณร ว่า

ขณะนี้ได้นำสามเณรฝากเข้ารับการศึกษาที่โรงเรียนบาลีฯแห่งหนึ่งเป็นการชั่วคราว เนื่องไม่รู้จะดำเนินการอย่างไร หากให้สามเณรที่มีอายุถึงเกณฑ์ประถมศึกษา 1-6 ก็ต้องลาสิกขาเพื่อเข้าเรียนตามระเบียบของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ที่รับเฉพาะเด็กหญิง-ชาย เพื่อให้สามารถเข้าเรียนได้ตามระเบียบที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนด

“พวกเขาไม่มีผู้ปกครอง รับอุปการะไว้ 1-2 เดือนจะมีญาติมาเยี่ยม สามเณรบางรูปเป็นเด็กกำพร้า พ่อแม่หย่าร้าง ปัจจุบันต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก ไม่ได้รับการศึกษาเท่ากับบุคคลทั่วไป พระต้องเป็นผู้ให้ความดูแลรับผิดชอบแบกรับค่าใช้จ่าย เราไม่สามารถทิ้งพวกเขาได้” เจ้าอาวาสวัดหนองบัว กล่าว

ขณะที่พระวิสิทธิ์ ฐิตวิสิทฺโธ (วงใส) ผู้ช่วยศาตราจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตเชียงใหม่ กล่าวว่า ปัจจุบันมีสามเณรตกหล่นจากระบบการศึกษา เนื่องจาก สพฐ. รับนักเรียนเฉพาะเด็กหญิง-ชาย แต่ทางเลือกอื่นคือโรงเรียนพระปริยธรรมศึกษาก็รับเฉพาะมัธยมศึกษาปีที่ 1-6 ซึ่งไม่ว่านักบวชหรือเถรวาททุกควรควรมีโอกาสได้รับการศึกษาอย่างเท่าเทียมกัน

พระวิสิทธิ์กล่าวว่า หากให้สามเณรลาสิขาเพื่อให้ได้เข้าเรียนตามกฎระเบียบของกระทรวงการศึกษาธิการ จะส่งผลกระทบต่อพระพุทธศาสนาคือ 1.ความมั่นคงในพระพุทธศาสนาที่เป็นสาธารณะทายาท ซึ่งกลไกของนักบวชคือ หากเรามีความเชื่อมั่นในการบวชเพื่อศึกษาก็สามารถที่จะพัฒนานักบวชเพื่อศึกษาพระธรรมวินัยให้เป็นผู้นำทางสังคมที่ดีได้ และเป็นบุคลากรที่สำคัญมีคุณภาพในฐานะพระสงฆ์

2.ความมั่นคงทางรัฐ แน่นอนถ้าหากพวกเขาเข้ามาเป็นนักบวชแต่ไม่มีสถานะทางทะเบียน ก็ต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ พวกเขาจะสามารถทำงานที่มีประสิทธิภาพให้กับสังคมได้อย่างไร ถ้าไม่มีข้อจำกัดเหล่านี้พวกเขาจะสามารถพัฒนาในพื้นที่หรือสังคมที่เขาอยู่ได้อย่างแน่นอน ช่วยดูแลเป็นที่พึ่งทางใจให้กับญาติโยมในอนาคตต่อไป

สรุป

“ปัจจุบันนี้นักบวชเริ่มลดน้อยลง ในขณะที่วัดวาอารามกลับเพิ่มขึ้นไร้ผู้ดูแล หากไม่มีพระหรือสามเณรที่มีความรู้ความสามารถ ก็คงไม่มีใครเข้ามาดูแลพื้นที่แห่งนี้ในอนาคต มีความคาดหวังให้โรงเรียนพระปริยัติธรรม ได้เปิดการเรียนการสอนเริ่มตั้งแต่ประถมศึกษาได้ เพื่อให้นักบวชมีพื้นที่ในการจัดการดูแลตนเอง และให้เติบโตและพัฒนาศักยภาพเพื่อเป็นสมณะที่ดีงาม” อาจารย์มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย กล่าว

อ้างอิง

https://www.matichon.co.th/

https://have-a-look.net/2023/07/31/%e0%b8%a8%e0%b8%98-%e0%b8%a5%e0%b8%b0%e0%b9%80%e0%b8%a1%e0%b8%b4%e0%b8%94%e0%b8%aa%e0%b8%b4%e0%b8%97%e0%b8%98%e0%b8%b4%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%a8%e0%b8%b6%e0%b8%81%e0%b8%a9%e0%b8%b2%e0%b8%9e/



วิทยาลัยเทคโนโลยีโซ่พิสัย
237 หมุู่ 8 ต.คำแก้ว อ.โซ่พิสัย จ.บึงกาฬ 38170 โทรศัพท์ 042-086002 โทรสาร 042-086002