โรคแพนิค อาการเหล่านี้ คุณเป็นหรือเปล่า
หากคุณมีอาการใจสั่น กลัวเหตุการณ์บางอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้นทั้ง ๆ ที่รู้ว่ามันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด แต่ไม่สามารถห้ามตัวเองได้ แถมยังรู้สึกทรมานมากขึ้นด้วย นี่อาจเป็นสัญญาณเตือนของ “ โรคแพนิค (Panic Disorder)” แต่อย่าเพิ่งตกใจไป เพราะโรคนี้รักษาได้
โรคแพนิค (Panic Disorder) คืออะไร
ถ้าใครไม่รู้จักโรคนี้ฟังอาการดูแล้ว อาจจะรู้สึกแปลกนิดหน่อย แต่สำหรับคนที่เป็นโรคนี้ อาการเหล่านี้น่ากลัวไม่ใช่น้อยเลย อาการที่ว่าคือ
-
อยู่ดีๆ ก็เกิดอาการใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว เหงื่อแตก ตัวสั่น รู้สึกหายใจไม่อิ่ม หายใจขัดข้อง ไม่สบายท้อง ปั่นป่วนในท้อง วิงเวียนคล้ายจะเป็นลม อาการเกิดขึ้นประมาณ 15-20 นาทีแล้วค่อย ๆ หายไป
-
เกิดความกังวลว่าตนเองกำลังจะเป็นอะไรไปรึเปล่า บางคนรู้สึกเหมือนว่าไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ บางคนอาจจะคิดว่าตนเองกำลังมีอาการของโรคหัวใจ และกำลังจะตายรึเปล่า
-
บางคนอาจพยายามโทรหาคนที่ใกล้ชิด เพื่อให้พาไปโรงพยาบาล แต่พอไปถึงโรงพยาบาล แพทย์ตรวจดูกลับไม่พบความผิดปกติอะไร หัวใจเต้นเป็นปกติดี ยิ่งทำให้งงไปกันใหญ่ว่าเกิดอะไรขึ้น พอกลับบ้านมาไม่กี่วันก็มีอาการแบบเดิมอีก
-
บางคนไม่กล้าอยู่คนเดียว เพราะกลัวว่าจะมีอาการขึ้นมาอีก แล้วถ้าเป็นอะไรไปจะไม่มีใครช่วยได้
อาการแบบนี้จริง ๆ แล้วสามารถพบได้ในหลายโรค เช่น โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคต่อมไทรอยด์ทำงานมากผิดปกติ โรคไมเกรน โรคลมชักบางประเภท และสามารถเกิดขึ้นได้เมื่อมีการใช้สารบางอย่างที่กระตุ้นให้เกิดอาการเช่นนี้ ซึ่งสารกระตุ้นที่พบบ่อยก็คือ คาเฟอีน แต่ถ้าตรวจไม่พบอาการผิดปกติจากโรคเหล่านี้ คุณก็อาจจะเป็นโรคแพนิค (Panic Disorder)
สาเหตุการเกิดโรคแพนิค
โรคนี้มักเกิดในวัยผู้ใหญ่ตอนต้นและสามารถเกิดร่วมกับโรคอื่นได้ เช่น โรคซึมเศร้า สาเหตุของโรคนี้เกิดจากระบบประสาทอัตโนมัติ (automatic nervous system) ทำงานผิดปกติไป ถ้าจะเปรียบเหมือนรถยนต์ก็เรียกได้ว่าเครื่องยนต์กำลังทำงานรวนไป เนื่องจากระบบประสาทอัตโนมัติควบคุมการทำงานของร่างกายในหลายส่วน อาการที่เกิดขึ้นจึงเกิดหลายอย่างพร้อมกันทั้งการเต้นของหัวใจ การหายใจ การออกของเหงื่อ ฯลฯ การทำงานของระบบดังกล่าวต้องอาศัยสารเคมีในสมองเป็นส่วนสำคัญในการควบคุมการทำงาน
อาการของโรคแพนิค
โรคแพนิค หรือบางคนอาจเรียกว่า “โรคตื่นตระหนก” เป็นโรคทางจิตเวชชนิดหนึ่งที่มีมานานแล้ว และพบไม่น้อยเลย แต่คนทั่วไปมักไม่ค่อยรู้จัก แม้กระทั่งเมื่อเป็นโรค ผู้ป่วยหรือคนใกล้ชิด อาจไม่ทราบด้วยว่า อาการที่ผู้ป่วยแสดงออกนั้น เป็นอาการของโรคแพนิคที่รักษาได้ อาการของโรคแพนิคนั้น ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นทันทีทันใด โดยผู้ป่วยจะมีอาการใจสั่น หัวใจเต้นแรง อึดอัด แน่นหน้าอก หายใจไม่ทันหรือไม่เต็มอิ่ม บางรายอาจวิงเวียน ท้องไส้ปั่นป่วน มือเท้าเย็นชารู้สึกเหมือนจะควบคุมตัวเองไม่ได้ จากนั้นจะเริ่มรู้สึกกลัวเหมือนตัวเองกำลังจะตาย หรือจะเป็นบ้า อาการจะค่อย ๆ รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนเต็มที่และสงบลงในเวลาประมาณ 10 นาที บางรายอาจนานกว่านั้น แต่มักไม่เกิน 1 ชั่วโมง และจะเป็นซ้ำ ๆ โดยมีสิ่งกระตุ้นหรือไม่มีก็ได้ แพทย์ก็มักตรวจไม่พบความผิดปกติ และมักได้รับการสรุปว่าเป็นอาการเครียดหรือคิดมาก
ผลกระทบต่อร่างกายหากไม่ได้รับการรักษา
หากไม่ได้รับการรักษาและอธิบายให้เข้าใจ ตัวโรคจะไม่ทำให้เกิดอันตรายถึงแก่ชีวิต แต่ผู้ป่วยจะทรมานจากอาการและดำเนินชีวิตประจำวันด้วยความวิตกกังวลตลอดเวลา กลัวที่จะต้องอยู่ในที่ที่ไม่สามารถได้รับความช่วยเหลือได้เมื่อมีอาการ ทำให้ไม่กล้าอยู่คนเดียว ไม่กล้าไปไหนมาไหนคนเดียว หรือกลัวที่จะทำกิจกรรมบางอย่างที่ส่งผลให้อาการแพนิคกำเริบขึ้นทันที เช่น ข้ามสะพานลอย ขึ้นลิฟต์ หรือขับรถ และอาจพบภาวะอื่น ๆ ตามมา ที่พบบ่อยคือ ภาวะซึมเศร้าจากการมีอาการและไม่ทราบว่าตัวเองเป็นอะไรแน่ กลัวว่าจะตายจากโรค ทำให้ผู้ป่วยเริ่มท้อแท้
การรักษา โรคแพนิค
ยาที่ใช้รักษามี 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ
ยาที่ออกฤทธิ์เร็ว เมื่อเกิดอาการขึ้นมา ให้รีบกินแล้วอาการจะหายทันที เป็นยาที่รู้จักกันในชื่อ ยากล่อมประสาท หรือยาคลายกังวล ยาประเภทนี้ ถ้ากินติดต่อกันนาน ๆ จะเกิดการติดยาและเลิกยาก
ยาที่ออกฤทธิ์ช้านั้น จะต้องกินต่อเนื่อง 2-4 สัปดาห์ จึงจะเห็นผล สามารถป้องกันโรคได้ในระยะยาว เพราะยาจะเข้าไปเปลี่ยนแปลงสารเคมีในสมอง ยากลุ่มนี้จะเป็นยาที่ใช้รักษาโรคซึมเศร้า แต่จะไม่ทำให้เกิดการติดยาและสามารถหยุดยาได้เมื่อโรคหาย
สำหรับการรักษาด้วยยา ในช่วงแรก ๆ แพทย์จะให้ยาทั้ง 2 กลุ่ม คือ เนื่องจากยาที่ออกฤทธิ์ช้านั้น ยังออกฤทธิ์ไม่เต็มที่ จึงต้องใช้ยาที่ออกฤทธิ์เร็วควบคู่กันไปด้วย เมื่อยาที่ออกฤทธิ์ช้านั้นได้ผล แพทย์จะลดการกินยาที่ออกฤทธิ์เร็วให้น้อยลง เมื่อผู้ป่วย “หายสนิท” คือ ไม่มีอาการเลย มักให้กินยาต่อไปอีก 8-12 เดือน เพื่อป้องกันการกลับมาของอาการ ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะสามารถหยุดยาได้โดยไม่มีอาการกลับมาอีก แต่ก็มีบางรายที่มีอาการอีกเมื่อหยุดยาไปแล้วสักพัก ก็ไม่เป็นไร แค่เริ่มต้นรักษาเหมือนเดิม
วิธีปฏิบัติตนเมื่อเกิดอาการแพนิคกำเริบ
-
หายใจเข้าออกลึก ๆ ช้า ๆ และบอกตัวเองว่าอาการไม่อันตราย แค่ทรมานแต่เดี๋ยวก็หาย
-
มียาที่แพทย์ให้พกติดตัวไว้ กินเมื่ออาการเป็นมาก
-
ฝึกการผ่อนคลายอื่นๆ เช่น ออกกำลังกาย ทำสมาธิ ทำงานอดิเรกต่าง ๆ ที่ช่วยให้มีความสุข
หากเป็นโรคแพนิค (Panic Disorder) ต้องรักษาอย่างไร ?
โรคแพนิค (Panic disorder) ไม่ได้เป็นโรคร้ายแรง หรือทำให้มีอันตรายถึงชีวิต แต่ทำให้เกิดความกังวลกับผู้ที่เป็น และต้องรักษาหากกระทบกับการใช้ชีวิตประจำวัน ทำให้ไม่สามารถใช้ชีวิตได้โดยปกติ ซึ่งการรักษาแบ่งออกเป็น 2 วิธี คือ
การรักษาด้วยยา
เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสารสื่อประสาทในสมองเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดโรคแพนิค ดังนั้นการรับประทานยา เพื่อไปปรับสมดุลของสารสื่อประสาทในสมองจึงมีความจำเป็น และใช้เวลาในการรักษาประมาณ 8-12 เดือน โดยขึ้นอยู่กับปัจจัยกระตุ้นให้เกิดโรคของแต่ละบุคคล จากการศึกษาพบว่า ประมาณ 1 ใน 3 ของผู้ที่เป็นโรคนี้ สามารถหายขาดได้
การรักษาทางใจ
คือการทำจิตบำบัดประเภทปรับความคิดและพฤติกรรม ซึ่งมีหลายวิธี เช่น
-
ฝึกหายใจในผู้ป่วยที่มีอาการหายใจไม่อิ่ม หายใจเข้า – ออกลึก ๆ ช้า ๆ เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากอาการ โดยหายใจเข้าให้ท้องป่องและหายใจออกให้ท้องยุบในจังหวะที่ช้า ซึ่งจะทำให้ร่างกายค่อย ๆ ปรับตัว หลังจากนั้นร่างกายจะเริ่มผ่อนคลายและอาการก็จะค่อย ๆ ดีขึ้นและหายไปเอง
-
รู้เท่าทันอารมณ์ของตน ตั้งสติ บอกกับตัวเองว่าอาการที่เกิดขึ้นเป็นแค่เรื่องชั่วคราว สามารถหายได้และไม่อันตรายถึงแก่ชีวิต
-
การฝึกการคลายกล้ามเนื้อในผู้ป่วยที่มีอาการปวดศรีษะ หรือปวดตึงกล้ามเนื้อ
-
การฝึกสมาธิ
-
การฝึกคิดในทางบวก
สรุป
ในยุคปัจจุบันที่เราอาจใช้ชีวิตกันอย่างเร่งรีบ และ ต้องเผชิญความเครียดหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่บีบคั้นเรามากขึ้น อาจจะนำไปสู่ความเครียดสะสมที่ส่งผลกระทบกับจิตใจของเราได้อย่างไม่รู้ตัว
ทำให้บางคนมีอาการต่าง ๆ เช่น ใจสั่น ใจเต้นแรง ซึ่งมักทำให้ยิ่งตกใจมากขึ้น สิ่งที่จะช่วยเราได้อย่างแรกคือตั้งสติให้ได้มากที่สุด และเมื่ออาการดังกล่าวหมดไป ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อปรึกษาและหาสาเหตุ เพื่อให้เรากลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติ และไม่ต้องกังวลใจกับอาการนั้น ๆ อีก
แหล่งที่มา
https://www.praram9.com/
https://hellokhunmor.com/
https://mydeedees.com/%e0%b9%82%e0%b8%a3%e0%b8%84%e0%b9%81%e0%b8%9e%e0%b8%99%e0%b8%b4%e0%b8%84-%e0%b8%ad%e0%b8%b2%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b9%80%e0%b8%ab%e0%b8%a5%e0%b9%88%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b8%b5%e0%b9%89-%e0%b8%84/
|