ส่งออกร่วง! ติดต่อกัน 8 เดือน กระทบอุตสาหกรรม-การผลิตไทย แค่ไหน?
ล่าสุด กระทรวงพาณิชย์ เพิ่งเปิดเผย ตัวเลขการส่งออกของไทย งวดประจำเดือน พ.ค. 2566 ซึ่งปรากฏว่า มีมูลค่า อยู่ที่ 24,340.9 ล้านดอลลาร์ฯ ติดลบ 4.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ 5 เดือนของปีนี้ (มกราคม-พฤษภาคม) มูลค่า อยู่ที่ 116,344.2 ล้านดอลลาร์ฯ ลดลง 5.1%
โจทย์สำคัญวันนี้ คือ ทำอย่างไร? ให้การส่งออกไทยกลับมามีมูลค่าเท่ากับปี 2565 หรือเป็นบวกตามเป้าหมาย 1-2% ที่ไทยวางเอาไว้ ซึ่งตามมุมมองของ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เคยประเมิน เอาไว้ว่า นับจากนี้ จะต้องมีมูลค่าการส่งออกเฉลี่ยต่อเดือนในช่วงที่เหลือของปีนี้ มากกว่า 24,024 ล้านดอลลาร์ฯ นั่นเท่ากับเป็นเรื่องที่ค่อนข้างท้าทายเป็นอย่างมาก
วันนี้ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 30 ในเดือนมิถุนายน 2566 ภายใต้หัวข้อ “การส่งออกหดตัว กระทบอุตสาหกรรมแค่ไหน” พบว่า เนื่องจากปัจจัยทั้งจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว แรงกดดันจากอัตราดอกเบี้ยและอัตราเงินเฟ้อที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูงในหลายประเทศ รวมทั้งแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศจีนที่น้อยกว่าที่คาดการณ์ ยังคงส่งผลกระทบทำให้ภาคการส่งออกไทยและอีกหลายประเทศหดตัวไปในทิศทางเดียวกัน
ผู้บริหาร ส.อ.ท. ย้อนรอยภาพรวมการผลิตเพื่อส่งออกสินค้าในช่วงเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา พบส่วนใหญ่มีทิศทางหดตัว ถึงแม้จะมีบางอุตสาหกรรมที่ยังสามารถรักษาระดับการส่งออกไว้ได้ ปัจจัยสำคัญมาจากคำสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศที่ลดลงจากภาวะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่ชะลอตัว
โดยเฉพาะในตลาดสหรัฐอเมริกา จีน และอาเซียน นอกจากนี้ภาวะต้นทุนการผลิตที่ยังอยู่ในระดับสูงทั้งราคาพลังงาน ค่าไฟฟ้า ราคาวัตถุดิบ/ชิ้นส่วน และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ปรับตัวสูงขึ้น ยังคงส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรม
ดังนั้น ผู้บริหาร ส.อ.ท. จึงเสนอให้ภาครัฐเร่งช่วยกระตุ้นการส่งออก และบรรเทาผลกระทบจากการส่งออกที่หดตัว โดยเฉพาะการออกมาตรการดูแลต้นทุนการผลิตให้ผู้ประกอบการสามารถแข่งขันได้ เช่น ค่าไฟฟ้า พลังงาน ค่าโลจิสติกส์ การเร่งเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) และการส่งเสริมให้มีการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีใน FTA ฉบับเดิมให้มากขึ้น รวมทั้งการเพิ่มการจัดกิจกรรมส่งเสริมการส่งออกสินค้าไปยังตลาดเป้าหมายใหม่ๆ ที่มีศักยภาพ เช่น กิจกรรมจับคู่ทางธุรกิจ (Business Matching) การจัดงานแสดงสินค้าทั้งในและต่างประเทศ เป็นต้น
จากการสำรวจผู้บริหาร ส.อ.ท. (CEO Survey) จำนวน 210 ท่าน ครอบคลุมผู้บริหารจาก 45 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 76 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด มีสรุปผลการสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 30 จำนวน 5 คำถาม ดังนี้
ยอดการส่งออกสินค้าในช่วงเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2566 มีทิศทางอย่างไร
อันดับที่ 1 : ทรงตัว
อันดับที่ 2 : ลดลงมากกว่า 20%
อันดับที่ 3 : ลดลง 1-10%
อันดับที่ 4 : ลดลง 11-20%
อันดับที่ 5 : เพิ่มขึ้น 1-10%
อันดับที่ 6 : เพิ่มขึ้น 11-20%
อันดับที่ 7 : เพิ่มขึ้นมากกว่า 20%
ตลาดประเทศคู่ค้าที่อุตสาหกรรมส่งออกสินค้ามากที่สุด
อันดับที่ 1 : เอเชีย (ไม่รวมอาเซียน) 36.2%
อันดับที่ 2 : อาเซียน 27.6%
อันดับที่ 3 : สหภาพยุโรป 12.4%
อันดับที่ 4 : สหรัฐอเมริกา 11.4%
อันดับที่ 5 : ประเทศอื่นๆ 7.6%
อันดับที่ 6 : ตะวันออกกลาง 4.3%
อันดับที่ 7 : ลาตินอเมริกา 0.5%
ปัจจัยภายในเรื่องใดที่ทำให้การส่งออกสินค้าของอุตสาหกรรมหดตัว (Multiple choices)
อันดับที่ 1 : ภาวะต้นทุนการผลิตที่ยังอยู่ในระดับสูงทั้งราคาพลังงาน ค่าไฟฟ้า ราคาวัตถุดิบ/ชิ้นส่วน และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้
อันดับที่ 2 : การแข่งขันระหว่างธุรกิจที่เพิ่มสูงขึ้น
อันดับที่ 3 : ภาวะอุปทานล้นตลาด (Over Supply) และสินค้าคงคลังยังอยู่ในระดับสูง ทำให้หลายโรงงานต้องลดการผลิตลง
อันดับที่ 4 : ต้นทุนค่าขนส่งโลจิสติกส์ภายในประเทศที่ยังอยู่ในระดับสูง
ปัจจัยภายนอกเรื่องใดบ้างที่ทำให้การส่งออกสินค้าของอุตสาหกรรมหดตัว (Multiple choices)
อันดับที่ 1 : คำสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศลดลงจากภาวะเศรษฐกิจ
อันดับที่ 2 : สินค้าจีนทะลักเข้ามาตีตลาดในประเทศคู่ค้า เช่น กลุ่มประเทศอาเซียน
อันดับที่ 3 : ปัญหาวัตถุดิบ/ชิ้นส่วน อุปกรณ์ที่ยังขาดแคลนและราคาแพง
อันดับที่ 4 : คำสั่งซื้อจากต่างประเทศปรับตัวลดลงตามฤดูกาล (Seasonal)
ภาคอุตสาหกรรมต้องการให้ภาครัฐดำเนินการในเรื่องใดเพื่อช่วยกระตุ้นการส่งออก และบรรเทาผลกระทบจากการส่งออกที่หดตัว (Multiple choices)
อันดับที่ 1 : ออกมาตรการดูแลต้นทุนการผลิตให้ผู้ประกอบการสามารถแข่งขันได้ เช่น ค่าไฟฟ้า พลังงาน ค่าโลจิสติกส์
อันดับที่ 2 : เร่งเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) และส่งเสริมให้มีการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีใน FTA ฉบับเดิมให้มากขึ้น
อันดับที่ 3 : เพิ่มการจัดกิจกรรมส่งเสริมการส่งออกสินค้าไปยังตลาดเป้าหมายใหม่ๆ เช่น การจับคู่ทางธุรกิจ (Business Matching) การจัดงานแสดงสินค้าทั้งในและต่างประเทศ
อันดับที่ 4 : เร่งดำเนินการเจรจาเพื่อแก้ไขปัญหาอุปสรรคทางการค้ากับประเทศคู่ค้า และส่งเสริมเตรียมความพร้อมให้กับผู้ประกอบการไทยในการปฏิบัติตาม มาตรการที่มิใช่ภาษี (NTB)
ขอบคุณรูปภาพจาก : thairath.co.th
ขอบคุณแหล่งที่มา : thairath.co.th
ติดตามข่าวสารได้ที่ have-a-look.net