นายอนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลังเปิดเผยว่า คาดรัฐบาลใหม่ปรับงบประมาณปี 2567 สนองรัฐสวัสดิการได้แค่ 2 แสนล้านบาท โดยต้องไปปรับลดงบประมาณในส่วนที่สามารถพอปรับลดได้ในกระทรวงและส่วนราชการต่างๆ ขาดอีกอย่างน้อย 4.5 แสนล้านบาท
หากต้องการจัดสรรให้ครบถ้วนตามนโยบายรัฐสวัสดิการที่หาเสียงเอาไว้ซึ่งต้องใช้เม็ดเงินประมาณ 6.5 แสนล้านบาท ต้องปรับลดงบกลางฉุกเฉินลงมาอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง ปรับลดงบหมวดป้องกันประเทศและหมวดความสงบภายในประเทศ อีก 30% จะได้เม็ดเงินอีกประมาณ 1.06 แสนล้านบาท (46.5 พันล้านบาท + 59.568 พันล้านบาท) ในการดูแลสวัสดิการประชาชนเพิ่มเติม ซึ่งก็ยังไม่เพียงพอตามนโยบายรัฐสวัสดิการ จึงควรทยอยจัดสวัสดิการให้ตามลำดับความจำเป็นในปีต่อๆไป
โดยหลีกเลี่ยงการก่อหนี้เพิ่ม หรือ เพิ่มภาษีใหม่ แต่เน้นเก็บภาษีที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นปรับปรุงประสิทธิภาพรัฐวิสาหกิจให้สามารถส่งเงินเข้ารัฐได้มากขึ้นหากไม่สามารถปรับลดในส่วนที่เกี่ยวกับหมวดป้องกันประเทศ หรืองบกลางฉุกเฉินหากต้องการทำให้เป้าหมายการดูแลสวัสดิการประชาชนบรรลุตามที่หาเสียงเอาไว้ก็อาจใช้วิธีขยายวงเงินงบประมาณจาก 3.35 ล้านล้านบาท เป็น 3.45-3.8 ล้านล้านบาท ด้วยเพิ่มการขาดดุลงบประมาณและก่อหนี้มาชดเชย สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพียังคงต่ำกว่าเพดาน 70% หรือ เพิ่มรายได้และเก็บภาษีให้สูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ในกรอบงบประมาณปี 67 ไม่ต่ำกว่า 3 แสนล้านบาท
หากเร่งทำนโยบายรัฐสวัสดิการปี 67 ต้องขยายฐานภาษีและเพิ่มอัตราภาษีหรือก่อหนี้สาธารณะเพิ่มอย่างแน่นอนการก่อหนี้สาธารณะแม้นยังอยู่ภายในเพดานสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพี 70%แต่อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงวิกฤติฐานะการคลังในอนาคตได้ และ
https://hillesarchitects.com
|