เป็น ตุ่ม ที่อวัยวะเพศชาย/อัณฑะ เป็นโรคอะไร
เรื่องของอวัยวะเพศเป็นเรื่องที่มักไม่ค่อยถูกพูดถึงเท่าไรนัก แล้วยิ่งโรคหรืออาการเหล่านั้นเกิดขึ้นเป็น ตุ่ม ที่อวัยวะเพศชายด้วย ในบทความนี้เราจึงขอเป็นหนึ่งบทความที่เป็นตัวช่วยของท่านชายทั้งหลายที่จะมาทำให้เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับตุ่มที่อวัยวะเพศชายว่าเป็นโรคใดได้บ้าง
ตุ่มที่อวัยวะเพศ ตุ่ม ที่อัณฑะ กับความเสี่ยง 3 โรคนี้ที่เกิดขึ้นได้
โรคหูดข้าวสุก
สาเหตุ : การติดเชื้อไวรัส Molluscum Contagiosum Virus จากการมีเพศสัมพันธ์หรือใช้สิ่งของร่วมกับผู้ที่เป็นโรค
อาการ : ที่อวัยวะเพศมีตุ่มสีเหลืองหรือสีเนื้อขนาดเล็กลักษณะกลม บางตุ่มสามารถมองเห็นหูดสีขาวภายใน มีลักษณะของตุ่มขึ้นเป็นกลุ่ม ไม่มีอาการแสบหรืออาการคันร่วมด้วย
การรักษา : เป็นโรคที่สามารถหายได้เองขึ้นกับปริมาณเชื้อที่รับเข้าไป หากรับเชื้อเข้าไปไม่มากก็สามารถหายได้เองใน 2 เดือน แต่หากรับเชื้อเข้าไปมากจะใช้ระยะเวลาในการหายถึง 1 ปี
การได้รับเชื้อ :
-
จากผิวหนังบริเวณหนึ่งไปอีกบริเวณหนึ่ง หรือจากการเกาหรือสัมผัสตุ่ม
-
จากคนสู่คนขณะเล่นกีฬา การมีเพศสัมพันธ์ หรือขณะทำกิจกรรมอื่น ๆ ร่วมกัน
-
จากการสัมผัสสิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัส
การป้องกัน :
หากมีหูดข้าวสุกเกิดขึ้นบริเวณอวัยวะเพศ ขาอ่อนด้านใน สะโพก หรือบริเวณหัวเหน่า ควรหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์จนกว่าหูดจะหายหรือได้รับการรักษา เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อไปยังผู้อื่น หากเป็นหูดข้าวสุกบนผิวหนังบริเวณอื่นสามารถลดการแพร่กระจายเชื้อไปยังผู้อื่นได้ โดยการปิดบริเวณที่เป็นตุ่มในช่วงกลางวันด้วยการสวมเสื้อคลุมหรือติดพลาสเตอร์
ผู้ป่วยไม่ควรใช้ผ้าเช็ดตัว เสื้อผ้า มีดโกน หรือของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น แม้ว่าหูดข้าวสุกที่หายแล้วจะไม่แพร่เชื้อสู่ผู้อื่นอีก แต่ผู้ที่เคยเป็นก็อาจจะติดเชื้อได้อีกครั้ง ดังนั้นวิธีป้องกันการได้รับเชื้อที่ดีที่สุดคือการไม่สัมผัสกับผู้ที่มีเชื้อดังกล่าว
หากหูดข้าวสุกเกิดขึ้นในเด็กที่ต้องเข้าเรียนในสถานศึกษา ให้ติดพลาสเตอร์หรือสวมเสื้อคลุมบริเวณที่เป็นตุ่ม ส่วนในเด็กที่ตุ่มเกิดขึ้นบริเวณที่ปิดไม่ได้ ให้หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่ต้องสัมผัสโดนตัวกัน เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น
การรักษา :
เมื่อผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันปกติเป็นหูดข้าวสุก หูดมักจะหายไปเองภายในระยะเวลาไม่กี่เดือนโดยไม่ต้องเข้ารับการรักษา แต่การติดเชื้ออาจจะยังคงอยู่ต่อไปอีกหลายเดือนและอาจจะถึงปีหากมีหูดเกิดขึ้นใหม่ ส่วนในผู้ป่วยที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ มีความเป็นไปได้ที่โรคจะมีอาการรุนแรงมากขึ้น และระยะเวลาในการติดเชื้อจะนานขึ้น
แพทย์จะแนะนำให้กำจัดหูดข้าวสุกทิ้งในกรณีที่ผู้ติดเชื้ออยู่ในวัยเจริญพันธุ์และเป็นหูดบริเวณอวัยวะเพศ การเอาหูดบริเวณนี้ออกจะเป็นการป้องกันการแพร่เชื้อไวรัสไปสู่ผู้อื่นขณะมีเพศสัมพันธ์ได้
ในกรณีที่ผู้ติดเชื้อหูดข้าวสุกเป็นเด็ก อาจจะใช้วิธีปล่อยให้หูดหายไปเองโดยไม่ต้องรักษา แต่จะใช้เวลานาน การรักษาหูดจะทำได้ด้วยเหตุผลเรื่องความสวยงาม หรือเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อสู่ผิวหนังบริเวณอื่น สู่พี่น้อง หรือสู่เพื่อน
การรักษาหูดข้าวสุก มีหลายวิธี เช่น
-
การจี้ทำลายโรคด้วยความเย็น (Cryotherapy)
-
การขูดเพื่อเอาหูดข้าวสุกออก (Curettage)
-
การใช้ยาทาที่มีฤทธิ์เป็นกรด
ปัจจุบันยังไม่มีการรักษาหูดข้าวสุกวิธีไหนที่ถือว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุด เนื่องจากการรักษามักขึ้นอยู่กับตำแหน่งของหูด และการตัดสินใจร่วมกันระหว่างแพทย์และผู้ป่วย ทั้งนี้ การรักษาอาจทำให้มีอาการข้างเคียง คือ ผู้ป่วยอาจรู้สึกเจ็บปวดหรือเกิดการระคายเคืองบริเวณผิวหนัง มีสีผิวผิดปกติหลังการรักษา และอาจทำให้กลายเป็นแปลเป็นได้ นอกจากนี้ ผู้ป่วยไม่ควรแกะหรือขูดหูดออกด้วยตัวเอง เพราะอาจทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นติดเชื้อแบคทีเรีย หรืออาจทำให้หูดข้าวสุกแพร่กระจายไปยังบริเวณอื่นได้
โรคหิด
สาเหตุ : เกิดจากปรสิตขนาดเล็กที่มีชื่อว่า Scabies Mite ซึ่งกินผิวหนังของมนุษย์โดยการเจาะเซลล์ผิว ซึ่งปรสิตนี้จะเคลื่อนที่จากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งได้จากการมีเพศสัมพันธ์จึงนับได้ว่าโรคหิดนี้เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
อาการ : ที่อวัยวะเพศมีตุ่มสีแดงที่มีลักษณะเส้นทางไม่แน่นอนขึ้นกับทิศทางการเจาะเซลล์ผิวของปรสิต Scabies Mite และมีอาการคันร่วมด้วย
การรักษา : ปรึกษาแพทย์แล้วรับยามาทา โดยต้องทายาจนกว่าตุ่มจะหาย และทาต่อไปอีกระยะเวลาหนึ่ง
หิดติดต่ออย่างไร ?
การติดเชื้อเกิดจากการสัมผัสใกล้ชิดกับคนที่เป็นโรคหิด เช่น สัมผัสผิวหนังโดยตรง สัมผัสเสื้อผ้า ผ้าปู และที่นอน เป็นต้นเหตุสามารถขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว โรคหิดติดต่อง่ายทางการสัมผัส มักพบว่าเป็นกันทั้งครอบครัวที่มีคนอยู่หนาแน่นหรือระบาดอยู่ในชุมชน
อาการของหิดเป็นอย่างไร ?
ผื่นของหิดจะคันมาก เกิดหลังติดเชื้อประมาณ 2 สัปดาห์โดยเฉพาะเวลากลางคืน อาการคันและผื่นเกิดจากปฏิกิริยาไวเกินของร่างกายต่อตัวหิดหรือสิ่งขับถ่ายของหิด
ผื่นมีลักษณะเป็นตุ่มน้ำใสหรือตุ่มแดงคัน ผื่นจะกระจายไปทั่วตัว บริเวณที่พบผื่นได้บ่อยคือ ง่ามมือ ง่ามเท้า ข้อพับแขน รักแร้ เต้านม อวัยวะเพศ รอบสะดือ และก้น ในเด็กอาจพบผื่นบริเวณหน้าและศีรษะ
ผื่นของหิดอีกชนิดหนึ่ง อาจพบเป็นตุ่มนูนเนื้อสีแดงอมน้ำตาล คัน มักพบตุ่มชนิดนี้บริเวณรักแร้ และอวัยวะเพศ มักไม่พบตัวหิดในผื่นชนิดนี้ และหลังการรักษาหิดหายแล้วผื่นนี้จะยังคงอยู่ได้
ในผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีหรือภูมิคุ้มกันบกพร่องและผู้ป่วยสูงอายุที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ จะทำให้การขยายพันธุ์ของหิดเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย ทำให้เกิดผื่นมีสะเก็ดแห้งขุยหนา ภายในสะเก็ดแห้งมีตัวหิดอยู่เป็นจำนวนมหาศาล ทำให้แพร่เชื้อได้ง่าย
จะทราบได้อย่างไรว่าเป็นหิด ?
1. การซักประวัติ ผื่นที่มีอาการคันมาก และพบสมาชิกครอบครัวหรือคนใกล้ชิดที่มีอาการพร้อมๆกัน
2. การตรวจร่างกาย พบผื่นที่มีลักษณะจำเพาะดังที่ได้กล่าวแล้ว โดยเฉพาะเมื่อพบรอยโรคที่เห็นเป็นเส้นเล็กๆ คดเคี้ยวที่ง่ามนิ้วเรียกว่า อุโมงค์หิด วิธีที่จะช่วยให้หาอุโมงค์ได้ง่าย คือการหยดหมึกลงบนผิวหนังที่จะหาอุโมงค์หิดแล้วเช็ดหมึกส่วนเกินออกจะพบหมึกค้างอยู่ในอุโมงค์
3. การตรวจดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ โดยขูดบริเวณผื่นคันหรืออุโมงค์หิด จะพบตัวหิด,ไข่ หรือสิ่งขับถ่ายของหิดอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายๆอย่างร่วมกัน
ในกรณีที่แพทย์สงสัยโรคหิดมากจากประวัติและการตรวจร่างกาย แต่การตรวจทางกล้องจุลทรรศน์ไม่พบหลักฐานการติดเชื้อหิด แพทย์อาจพิจารณาให้การรักษาโดยยาซึ่งมีความจำเพาะต่อโรคหิด
การรักษาหิด
ยาทา
การทายาควรสวมถุงมือยางเมื่อทายาให้ผู้ป่วย ทายาหลังอาบน้ำตอนเย็น ทายา”ทั้งตัว”ตั้งแต่คอลงไป ไม่ควรเลือกทาเฉพาะส่วนที่มีผื่นเท่านั้น เด็กเล็กให้ทาทั้งตัวตั้งแต่ศีรษะ หน้า คอ ใบหู โดยเฉพาะหลังหู ร่องก้น ง่ามนิ้วและใต้เล็บ ทายาทิ้งไว้ 8-14 ชั่วโมงแล้วล้างออกในตอนเช้า ทาซ้ำตามรายละเอียดของยาแต่ละตัว
1. Permethrin cream ใช้ได้ดีกับผู้ใหญ่และเด็กมากกว่า 2 เดือน ไม่ควรใช้ในหญิงตั้งครรภ์และเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 2 เดือน ทาทั่วตัว 1 ครั้งและทาซ้ำอีกครั้งในอีก 1 สัปดาห์
2. 5-15% sulfur เป็นยากำมะถัน ใช้ได้ดีและค่อนข้างปลอดภัย ใช้ได้ในเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 2 เดือน หญิงตั้งครรภ์ หญิงให้นมบุตร ควรทายาทั่วตัว 3 วันติดต่อกัน ข้อเสียคือ ยามีกลิ่นเหม็นและเหนอะหนะ
3. 10-25% Benzyl benzoate ใช้ได้ในเด็กและผู้ใหญ่ ไม่ควรใช้ในเด็กเล็ก ทาทั่วตัว 1 ครั้งและทาซ้ำอีกครั้งในอีก 1 สัปดาห์ ยาอาจมีแสบระคายเคืองได้
ยารับประทาน
1. Ivermectin รับประทาน 200 ไมโครกรัม/น้ำหนักตัว 1กิโลกรัม มีประสิทธิภาพรักษาหิดได้ดี มีผลข้างเคียงน้อย
2. อาการคันจากหิดมีอาการได้นานหลังได้รับการรักษา การรับประทานยาแก้คันจะช่วยบรรเทาอาการคันได้
3. สำหรับตุ่มหิดสามารถให้การรักษาโดยการทายาหรือฉีดยาคอร์ติโคสเตียรอยด์เข้าที่ตุ่ม หลังได้รับการรักษาหิดแล้ว
4. ถ้ามีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน โดยเฉพาะจากการแกะเกา ควรได้รับยาปฏิชีวะนะร่วมด้วย
การป้องกันการแพร่กระจายของหิด
– ควรรักษาสมาชิกทุกคนในครอบครัวพร้อมๆกัน โดยเฉพาะสมาชิกครอบครัวที่อยู่ใกล้ชิดผู้ป่วย ถึงแม้ไม่มีอาการก็จำเป็นต้องรักษา เพราะอาจอยู่ในระยะฟักตัว
– ทำความสะอาดเครื่องใช้ เครื่องนุ่งห่ม, ที่นอน, ผ้าปูที่นอน, ผ้าห่ม, ผ้าคลุมเตียง, เสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว ที่ใช้ในหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาด้วยการซักน้ำร้อนอย่างน้อย 5 นาที สำหรับเครื่องนุ่มหุ้มที่ซักไม่ได้ เช่น หมอนและพรม ควรอบแห้ง 50oC 20 นาที หรือเก็บไว้ในถุงพลาสติกปิดปากแน่น อย่างน้อย 7 วัน
– ทำความสะอาดพื้น ดูดฝุ่นพรมและเฟอร์นิเจอร์
– แยกของใช้ส่วนตัว หวี ผ้าเช็ดตัว เครื่องนุ่งห่ม และที่นอน ไม่ใช้ร่วมกับผู้อื่น
– ตัดเล็บสั้นและตะไบเล็บให้ไม่คม ไม่แคะแกะเกาผื่นคัน
โรคเริม
สาเหตุ : การติดเชื้อไวรัสเชื้อไวรัส เฮอร์พีส์ ซิมเพล็กซ์ ชนิดที่ 2 (HSV-2) จากการมีเพศสัมพันธ์ หรือใช้สิ่งของร่วมกับผู้ที่เป็นโรค
อาการ : ที่อวัยวะเพศมีตุ่มน้ำใสคล้ายคลึงกับลักษณะของตุ่มของโรคอีสุกอีใส มีอาการปัสสาวะแสบขัด การอักเสบ รวมถึงการเป็นไข้ร่วมด้วย
การรักษา : โรคเริมนี้เป็นโรคที่ยังไม่มียารักษาให้หายขาด แพทย์จะจ่ายยาตามอาการเพื่อบรรเทาโรคเริมไว้เท่านั้น เมื่อภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอลง อาการของโรคเริมก็จะปรากฎขึ้นมาได้อีก แต่อาการในรอบที่ 2 นี้จ
รุนแรงน้อยกว่าอาการในรอบแรก
ตุ่มใสขึ้นที่อวัยวะเพศชาย อาจเกิดจากโรคเริมที่อวัยวะเพศ (Genital herpes) ซึ่งเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่สามารถเกิดได้ทั้งในผู้ชายและผู้หญิง สำหรับเพศชาย นอกจากจะมีตุ่มใสขึ้นที่อวัยวะเพศแล้ว ยังอาจก่อให้เกิดอาการอื่น ๆ ได้แก่ อาการเจ็บ คัน และแสบร้อน โดยเฉพาะเมื่อตุ่มพองแตก สามารถป้องกันได้ด้วยการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์ หากพบว่าเป็นเริมที่อวัยวะเพศควรไปพบคุณหมอเพื่อรับการรักษาและบรรเทาอาการให้ทุเลาโดยเร็วที่สุด ส่วนใหญ่แล้วการรับประทานยาและทายาตามคุณหมอสั่งอย่างเคร่งครัดจะช่วยควบคุมความรุนแรงของโรคและย่นระยะเวลาการเกิดโรคได้
มีตุ่มใสขึ้นที่อวัยวะเพศชาย เกิดจากอะไร
ตุ่มใสขึ้นที่อวัยวะเพศชาย อาจเกิดจากโรคเริม ซึ่งเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเฮอร์พีส์ ซิมเพล็กซ์ (Herpes Simplex Virus หรือ HSV) ซึ่งแพร่กระจายผ่านการสัมผัสผิวหนังบริเวณที่ติดเชื้อ การมีเพศสัมพันธ์ทั้งทางช่องคลอด ทวารหนัก และช่องปาก เป็นต้น เมื่อเป็นโรคเริมอาจทำให้ครั่นเนื้อครั่นตัว อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามตัว จากนั้นประมาณ 1-2 สัปดาห์ต่อมาจะเริ่มเกิดอาการคันและเกิดตุ่มใสที่อวัยวะเพศ นอกจากนี้ ผู้ชายยังอาจเกิดตุ่มเริมบริเวณก้น ต้นขา ทวารหนัก และท่อปัสสาวะด้วย อาการของโรคเริมจะรุนแรงที่สุดในการติดเชื้อครั้งแรก แต่โดยทั่วไปอาการสามารถหายไปได้เองภายใน 1 สัปดาห์ ทั้งนี้ โรคเริมไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เชื้อจะยังคงอยู่ในร่างกายต่อไป หากภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น มีไข้ ก็อาจกลับมาเป็นซ้ำได้อีก
อาการของเริมที่อวัยวะเพศ
อาการของเริมที่อวัยวะเพศ อาจมีดังนี้
-
เกิดตุ่มพองเล็ก ๆ หากแตกจะทิ้งรอยแดง
-
เป็นแผลเปิดบริเวณอวัยวะเพศ ทวารหนัก ต้นขา หรือก้น
-
เกิดแผลพุพอง อาจมีเลือดออก
-
รู้สึกแสบร้อนหรือคันบริเวณอวัยวะเพศ
-
รู้สึกเจ็บขณะปัสสาวะ
-
ผิวหนังบริเวณอวัยวะเพศอาจลอกเป็นขุยและเกิดสะเก็ดเมื่อแผลหาย
วิธีรักษาเมื่อ มีตุ่มใสขึ้นที่อวัยวะเพศชาย
หากมีตุ่มใสขึ้นที่อวัยวะเพศครั้งแรก คุณหมออาจให้ยาต้านไวรัสและครีมทาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการ ควรใช้ยาตามคำแนะนำของคุณหมอภายใน 5 วันนับตั้งแต่มีอาการ
หากมีตุ่มใสขึ้นซ้ำ คุณหมออาจให้ยาต้านไวรัสที่อาจช่วยลดระยะการเกิดโรคให้เหลือเพียง 1-2 วัน หากเริ่มใช้ยาตั้งแต่มีอาการอยู่ในระยะเริ่มต้น
สำหรับผู้ที่เป็นโรคเริมเกิน 6 ครั้ง ใน 1 ปี อาจรับการรักษาด้วยการใช้ยาต้านไวรัสเป็นเวลา 6-12 เดือน
การป้องกันและดูแลโรคเริมที่อวัยวะเพศ
วิธีป้องกันและดูแลโรคเริมที่อวัยวะเพศ อาจทำได้ดังนี้
วิธีการป้องกันเริมที่อวัยวะเพศ
สวมถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือช่องปาก ทั้งนี้ เริมยังสามารถแพร่เชื้อได้หากถุงยางอนามัยไม่ครอบคลุมบริเวณที่ติดเชื้อ
หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือทางปาก หากสงสัยว่าตัวเองหรือคู่นอนมีแผลพุพองหรือรู้สึกแสบคันที่อาจเป็นสัญญาณของโรคเริม
ไม่ใช้เซ็กซ์ทอยหรือของเล่นผู้ใหญ่ร่วมกับผู้อื่น หากจำเป็นต้องใช้ร่วมกันควรล้างให้สะอาดและสวมถุงยางอนามัยซ้อนไว้อีกชั้นหนึ่ง
การดูแลตัวเองเมื่อเป็นเริมที่อวัยวะเพศ
รักษาบริเวณอวัยวะเพศให้สะอาดอยู่เสมอ อาจใช้น้ำเปล่าหรือน้ำเกลือทำความสะอาดอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้แผลติดเชื้อ
หลีกเลี่ยงการสวมเสื้อผ้าที่รัดแน่น เพราะอาจระคายเคืองแผลหรือตุ่มใสที่บริเวณอวัยวะเพศ
หลีกเลี่ยงการใช้น้ำแข็งถูหรือประคบที่ผิวหนังโดยตรงเพื่อลดอาการคัน หากต้องการประคบเย็น ควรห่อน้ำแข็งด้วยผ้าบางก่อน
งดมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือช่องปาก จนกว่าแผลจะหายสนิท
การป้องกันการเป็นตุ่มที่อวัยวะเพศชาย
-
ป้องกันตนเองทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์ เช่น การใส่ ถุงยางอนามัย
-
ไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย ๆ หรือ งดการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่ไม่ใช่คู่นอนของตน
-
รักษาความสะอาดของร่างกายอยู่เสมอ
-
หลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น
สรุป
ตุ่มที่อวัยวะเพศชาย เป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้ในเพศชายเกือบทุกท่าน ซึ่งเราขอเป็นหนึ่งในตัวช่วยไขข้อสงสัยของท่านชายทั้งหลายหากเกิดอาการนี้ขึ้นกับคุณ คุณก็สามารถทราบสาเหตุเบื้องต้น วิธีรักษา หรือการป้องกันได้จากบทความเบื้องต้น
แหล่งที่มา
https://www.sanook.com/men
https://mydeedees.com/%e0%b8%a1%e0%b8%b5-%e0%b8%95%e0%b8%b8%e0%b9%88%e0%b8%a1-%e0%b8%97%e0%b8%b5%e0%b9%88%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%8a%e0%b8%b2%e0%b8%a2-%e0%b8%95%e0%b8%b8%e0%b9%88%e0%b8%a1%e0%b8%97/
|