เมล็ดเจีย ธัญพืชสำหรับลดความอ้วนได้ผล
สาวกคนรักสุขภาพต่างก็รู้กันเป็นอย่างดีว่า เมล็ดเจีย นับว่าเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยสำคัญสำหรับใครที่ไม่เวลาพาตัวเองเข้าไปออกกำลังกายที่ฟิตเนส เพราะสุขภาพที่ดีหาซื้อไม่ได้ ถ้าอยากได้ต้องทานเอง นั่นเป็นเหมือนสโลแกนที่ทำให้ใครต่อใครต้องหันกลับมาดูแลสุขภาพกันอย่างเข้มข้น เป็นเพราะว่าทุกวันนี้การใช้ชีวิตของเราเปลี่ยนแปลงไปมาก งานเยอะ ไม่มีเวลาดูแลตัวเอง ปล่อยให้ร่างก่ายอ้วนฉุดูไม่ดี
“เมล็ดเจีย” หรือ “เมล็ดเชีย” เป็นธัญพืชที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับเม็ดแมงลัก ซึ่งในความเป็นจริงแล้วถึงแม้ว่าจะมีสีออกดำคล้ายๆ กันแต่ เมล็ดเจีย มีขนาดเล็กกว่ามาก เชื่อกันว่าธัญพืชชนิดนี้เป็นอาหารหลักของชาวแอชแท็กโบราณและชาวมายา ซึ่งคุณประโยชน์ที่ได้ไม่ได้เล็กไปตามขนาดของมัน ให้พลังงานสูง ซึ่งชาวโบราณนิยมรับประทาน เมล็ดเจีย ก่อนออกไปทำศึกสงคราม หรืออาจเป็นกิจกรรมที่ต้องใช้กำลังมาก ในปัจจุบัน เมล็ดเจีย กำลังได้รับความนิยมจากผู้ที่ห่วงใยในสุขภาพ และหันมาออกกำลังกายเพื่อรักษารูปร่างให้ดูเป๊ะ เป็นหนึ่งในสูตรอาหารสำหรับลดความอ้วนได้เป็นอย่างดี วันนี้เราจะมาพาทำความรู้จักกับธัญพืชชนิดนี้ให้มากขึ้นกัน
เมล็ดเจีย หรือ เมล็ดเชีย (Chia Seed)
จัดเป็นพืชในกลุ่มเครื่องเทศตระกูลเดียวกัน “มินต์” และ “กะเพราะ” มีถิ่นกำเนิดทางตอนกลางไปจนถึงตอนใต้ของประเทศเม็กซิโกและกัวเตมาลา เป็นพืชที่มีอายุมากกว่า 3,500 ปีก่อนคริสตกาล มีการจัดว่าพืชชนิดนี้เป็น “Super Food” หรืออาหารระดับโลกเลยทีเดียว เนื่องมากจากว่าเป็นพืชที่ได้รับความนิยมรับประทานไปทั่วโลก เพราะด้วยสรรพคุณที่ช่วยในด้านการลดน้ำหนักและคุณประโยชน์อีกนับไม่ถ้วนอยู่ภายในเมล็ดเล็กๆ นี้
ด้วยลักษณะของ เมล็ดเจีย ที่พอมองเผินๆ แล้วอาจคิดว่าเป็นเม็ดแมงลัก แต่จริงๆ แล้วเป็นพืชคนละชนิดกัน โดยสามารถสังเกตลักษณะภายนอกของ เมล็ดเจีย จะเรียวรี มีสีน้ำตาลเทา เมื่อแช่น้ำจะเกิดการพองตัว มีลักษณะใส ส่วนเม็ดแมงลักนั้นจะมีสีดำเข้ม เมื่อแช่น้ำจะพองตัวมีลักษณะเป็นเมือกขาวขุ่น นอกจากนี้ภายใน เมล็ดเจีย ยังอุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหารอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็น โปรตีน พลังงาน น้ำ ไขมัน คาร์โบไฮเดรต ไฟเบอร์ แคลเซียม เหล็ก แมกนีเซียม โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส ซิงก์ โซเดียม วิตามินเอ วิตามินบี 1 ถึงบี 3 และบี 6 ตลอดจนโฟเลต กรดไขมันอิ่มตัวและไม่อิ่มตัว เป็นต้น ทั้งยังได้ชื่อว่าเป็นตัวช่วยในการลดน้ำได้อย่างดีอีกด้วย นับได้ว่า เมล็ดเจีย เป็นทั้งพืชและสมุนไพรไปในคราวเดียวกัน
เมล็ดเจียกินกับอะไรดี
เมล็ดเจียสามารถรับประทานได้ทั้งแบบอาหารคาว อาหารหวาน หรือจะประยุกต์ทำเป็นเครื่องดื่มได้ อาจใส่ทานกับสลัดผัก สปาเก็ตตี้ หรือพิซซ่า ตลอดจนโรยตกแต่งหน้าไอศกรีม โยเกิร์ต ซีเรียลอาหารเช้า หรือแม้กระทั่งใส่ในน้ำผลไม้ ชา กาแฟได้อีกสารพัดตามความชอบ
ค่าทางอาหารที่มีอยู่ในเมล็ดเจีย
การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ คุณค่าทางอาหารที่มีอยู่ในเมล็ดเจียสามารถช่วยบรรเทาอาการเหล่านี้ได้ แต่นั่นต้องทำไปพร้อมกับการออกกำลังกาย และทำจิตใจให้ผ่องใสอยู่เสมอ
- ช่วยให้หัวใจแข็งแรง
- ช่วยให้บาดแผลหายเร็ว ไม่ติดเชื้อจากบาดแผลง่าย
- ช่วยให้ห่างไกลจากโรคเบาหวานประเภท 2
- ช่วยบำรุงสมองและความจำ
- ป้องกันโรคกระดูกพรุน
- ช่วยให้ระบบเผาผลาญพลังงานในร่างกายดีขึ้น
- ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอในร่างกายให้เป็นปกติ
- ช่วยให้ระบบย่อยทำงานได้ดีขึ้น พุงไม่ป่อง ท้องไม่ผูก
- ช่วยให้อารมณ์ของเราดีขึ้น
- ช่วยให้ดูอ่อนกว่าวัย (ช่วยให้หน้าเด็ก)
ผู้ที่ไม่ควรทานเมล็ดเจีย
- ผู้ที่มีปัญหาในระบบกระเพาะอาหารและลำไส้
- ผู้ที่เป็นโรคแพ้โปรตีนในธัญพืช (กลูเตน)
- ผู้ที่ทำศัลยกรรมและประวัติแพ้ยาแอสไพริน
- ในผู้ชายหากรับประทานมากเกินไปอาจเสี่ยงต่อโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก
- ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์
- ไม่ควรรับประทานติดต่อกันเป็นเวลานาน
- ผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตต่ำ เพราะอาจทำให้ช็อก หรือหมดสติไปได้
- ไม่ควรรับประทานร่วมกับวิตามินบี 17 ติดต่อกันนานเกินไป เพราะอาจสะสมเป็นสารพิษขึ้นในร่างกายก่อเกิดโรคมะเร็งได้
แต่ถ้าหากใครที่ได้อ่านบทความนี้แล้วยังเกิดความไม่มั่นใจว่า “เมล็ดเจีย” นั้นจะช่วยทำให้สุขภาพของเราเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นได้ เราขอยก 6 เหตุผลที่คุณควรจะออกตามหาเมล็ดเจียมารับประทานเพื่อสุขภาพที่ดี เพื่อรูปร่างที่ดูสวยหล่อจนใครๆ ต้องมองตาม
1. ช่วยในการลดน้ำหนัก
ด้วยเส้นใย 11 กรัม บวกกับโปรตีน 4.4 กรัมที่มีอยู่ในเมล็ดเจีย จะช่วยให้เรื่องการลดน้ำหนักดูง่าย ไม่ทรมานร่างกายตัวเองอีกต่อไป เพราะพืชชนิดนี้จะช่วยให้คุณรู้สึกอิ่มท้องนานขึ้น โดยที่เมล็ดเจียสามารถดูดซึมน้ำได้มากกว่าน้ำหนักตัวถึง 10 เท่า สามารถนำไปใส่ในเครื่องดื่มสมูธตี้และขนมอบต่างๆ ได้ แต่ขอเตือนไว้ก่อนว่าอย่ารับประทานมากจนเกินไป เพราะด้วยคุณสมบัติของเส้นใยอาหารที่มีอยู่ในเมล็ดเจียอาจทำให้ท้องไส้ของคุณปั่นป่วนได้
2. มีแคลเซียมที่มากกว่านม
การทานเมล็ดเจียเข้าไปเพียงหนึ่งหน่วยบริโภคก็จะได้รับแคลเซียมมากกว่านมถึงเกือบร้อยละ 20 ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน ถือได้ว่าเมล็ดเจียคือทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ไม่ดื่มนม หรือไม่สามารถดื่มนมได้ การได้รับแคลเซียมอย่างเพียงพอจะช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง อีกทั้งยังช่วยผลัดเซลล์ผิวและเพิ่มความชุ่มชื้นได้อีกด้วย
3. พิชิตความเครียด
ภายในเมล็ดเจียมีสารอหารที่จำเป็นอยู่หนึ่งชนิดซ่อนอยู่ นั่นก็คือ แมกนีเซียม ซึ่งจะช่วยรักษาระดับฮอร์โมนคอร์ติชอลให้ต่ำอยู่เสมอ หากระดับแมกนีเซียมในร่างกายต่ำก็เป็นสาเหตุของอาการปวดศีรษะและเหนื่อยล้าง่าย นอกจากนี้ เมล็ดเจียยังอุดมไปด้วย ทริปโตเฟน ซึ่งเป็นกรดอะมิโน ช่วยให้ร่างกายผลิตสารเซโรโทนินที่ต่อสู่กับความเครียดได้เป็นอย่างดี
4. ผิวพรรณผ่องใส
ภายในเมล็ดเจียมีกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่มีมากกว่าในปลาแซลมอน ช่วยป้องกันโรคหัวใจได้ด้วย อีกทั้งไขมันดังกล่าวจะช่วยบำรุงผิวหนัง เส้นผมและเล็บ ที่สำคัญยังช่วยลดอาการอักเสบบวมแดง รวมทั้งกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตได้อีกด้วย
5. ลดอาการบวม
หากใครที่ชอบรับประทานอาหารที่มีรสเค็มจัดประเภทเติมเกลือ หรือน้ำปลาลงไปอย่างไม่กำหนดลิมิต อาจจะไม่ทำให้คุณดูอ้วน แต่มันจะทำให้คุณกลายเป็นคนบวมน้ำ แนะนำให้เคี้ยวเมล็ดเจียหลังจากที่รับประทานอาหารทันที เพราะสารโปแตสเซียมในเมล็ดเจียที่มีมากกว่ากล้วยถึง 2 เท่า จะช่วยลดอาการบวมน้ำลงได้ เนื้อหนังของคนก็จะดูสุขภาพดีจนเห็นได้ชัด
6. ต่อต้านอนุมูลอิสระ
หนึ่งหน่วยบริโภคของเมล็ดเจียประกอบไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่มากกว่าบลูเบอร์รี่ถึง 3 เท่า ซึ่งสารเหล่านี้มีประโยชน์ต่อสุขภาพในการช่วยให้เซลล์ในร่างกายต่อสู่กับสารอนุมูลอิสระได้อย่างมีประสิทธิภาพ
กินเมล็ดเจียแล้วทำไมท้องอืด ท้องผูก?
เมล็ดเจีย ถึงแม้ว่าจะเป็นธัญพืชที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่สำหรับบางคนเมื่อรับประทานเข้าไปแล้วเกิดอาการอึดอัด ท้องอืด ท้องผูกตามมา หรือในบางวันกลับมีอาการขับถ่ายลำบาก ซึ่งในความเป็นจริงแล้วการรับประทานเมล็ดเจียเข้าไปต้องช่วยให้เราขับถ่ายได้สะดวก โดยอาการที่เกิดขึ้นน่าจะมาจากสาเหตุหลัก 2 อย่าง คือ การรับประทานเมล็ดเจียผิดวิธี หรือ ร่างกายไม่ตอบรับต่อธัญพืชชนิดนี้
วิธีการรับประทานเมล็ดเจีย
สำหรับการรับประทานเมล็ดเจียนั้นทำได้ทั้งแบบแห้ง และแบบแช่น้ำ ซึ่งคนที่มีปัญหาเรื่องท้องผูก ท้องอืด หรือขับถ่ายไม่สะดวกแนะนำให้ให้ทานแบบแช่น้ำเท่านั้น
ตรวจดูกันว่าทานเมล็ดเจียถูกวิธีรึเปล่า
เราควรเริ่มรับประทานเมล็ดเจียทีละน้อยเพื่อสร้างความคุ้นเคยให้กับร่างกาย หากคนไหนที่ยังไม่เคยทานเมล็ดเจียมาก่อน ควรเริ่มต้นทานประมาณ 2 – 3 ช้อนชา / วัน เพื่อให้ร่างกายได้ทำความรู้จักกับธัญพืชชนิดนี้เสียก่อน เมื่อร่างกายเริ่มคุ้นชินแล้วจึงค่อยๆ ปรับให้ปริมาณเพิ่มมากขึ้น โดยอัตราส่วนของเมล็ดเจียต่อน้ำนั้นไม่ได้มีกำหนดตายตัว แต่หากเอาให้ดีก็ควรเป็นเมล็ดเจีย 1 ช้อนโต๊ะ ต่อ น้ำไม่น้อยกว่า 400cc รวมถึงไม่ควรบริโภคเมล็ดเจียเกิน 6 ช้อนโต๊ะ / วัน
สำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องของการขับถ่ายยากอยู่แล้ว ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานเมล็ดเจียแบบดิบๆ โดยเด็ดขาด แต่หากทำทุกวิธีที่กล่าวมาข้างต้นแล้วยังเกิดอาการท้องผูก ท้องอืดอยู่อย่างต่อเนื่อง เราจะต้องยอมรับสัญญาณจากร่างกาย หยุดรับประทานเมล็ดเจีย และหันมาเลือกอาหาร หรือธัญพืชชนิดมาบริโภคแทน
ข้อดีด้านอื่นๆ ของเมล็ดเจีย
- ช่วยทำให้อิ่มเร็วขึ้น เมล็ดเจียช่วยให้คุณสามารถลดน้ำหนักได้ด้วยการที่เมล็ดเจียจะเข้าไปดูดซับน้ำแล้วพอตัวเป็นเจล จึงทำให้คุณรู้สึกอิ่มเร็วขึ้น
- ช่วยลดภาวะที่ร่างกายเราสูญเสียน้ำ เมล็ดเจียนับว่าเป็นธัญพืชที่มีประโยชน์สำหรับนักกีฬา เพราะเจลเจียสามารถชดเชยน้ำให้กับร่างกายได้เนื่องมาจากการสูญเสียเหงื่อ
- ช่วยลดความดันโลหิต จากผลการวิจัยโดยโรพยาบาลเซนต์ไมเคิล โตรอนโต ประเทศแคนาดา ได้ชี้ให้เห็นว่าเมล็ดเจียนั้นมีความสามารถในด้านการลดความดันโลหิตให้อยู่ในระดับที่น่าพอใจได้
- มีโอเมก้า 3 (Omega 3) นับว่าเมล็ดเจียเป็นแหล่งที่มีโอเมก้า 3 สูงสุด ซึ่งโอเมก้า 3 นั้นเป็นไขมันที่ช่วยป้องกันการอักเสบ ไม่ว่าจะเป็นไขข้อ และโรคหัวใจ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเมล็ดเจียนั้นมีโอเมก้า 3 สูงกว่าปลาแซลมอนเสียอีก
- เป็นประโยชน์สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน เมล็ดเจียช่วยชะลอกระบวนการทำงานของร่างกายเราที่จะเปลี่ยนคาร์โบไฮเดรตให้เป็นน้ำตาล โดยจากการศึกษาระบุว่า เมล็ดเจียสามารถช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ ซึ่งนับว่าเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน
- ย่อยง่าย เมล็ดเจียมีกากใยสูง ช่วยในเรื่องของการขับถ่ายได้สะดวก อีกทั้งยังย่อยง่ายอีกด้วย
ทั้งหมดที่ได้อ่านวันนี้ก็เป็นเรื่องราวดีๆ เกี่ยวกับสุขภาพที่ สนุก! Health นำมาฝากกัน อย่าเพิ่งมองข้ามธัญพืชเมล็ดเล็กๆ อย่าง “เมล็ดเจีย” ไป เห็นเมล็ดเล็กจิ๋วขนาดนี้แต่คุณทางอาหารที่ได้กลับไม่ได้เล็กตามลงไปเลย เหมาะเป็นอย่างมากสำหรับใครที่กำลังควบคุมน้ำหนัก ทานเปล่าๆ หรือจะเอาผสมเข้ากับเครื่องดื่ม หรืออาหารคาวหวานได้อย่างหลากหลาย ไม่จำเป็นต้องอดอาหารให้เหนื่อยใจอีกต่อไป และอย่าลืมออกกำลังกายเป็นประจำกันด้วย สุขภาพจะได้แข็งแรง ดีพร้อมในทุกส่วน
ขอบคุณรูปภาพจาก : sanook.com
ขอบคุณแหล่งที่มา : sanook.com
ติดตามข่าวสาร ได้ที่ : thaigoodherbal.com