[x] ปิดหน้าต่างนี้
Powered by ATOMYMAXSITE 2.5
วิทยาลัยเทคโนโลยีโซ่พิสัย
เมนูหลัก
หน่วยงานในวิทยาลัย
ข้อมูลพื้นฐานวิทยาลัย
งานนโยบายและแผนฯ
ระบบสมาชิก
Username :
Password :
[ สมัครสมาชิก ] | [ ลืมรหัสผ่าน ]
สมาชิกทั้งหมด 84 คน
สมาชิกที่กำลังออนไลน์ 0 คน
หน่วยงานต่างๆ
poll

   คุณคิดว่าเวปนี้เป็นอย่างไร


  1. ดีมาก
  2. ดี
  3. ปานกลาง
  4. แย่
  5. แย่มาก



 

  

   เว็บบอร์ด >> ห้องนั่งเล่น >>
นักการเมือง ตอบคำถาม จากนักเรียนเลว เรื่อง สอบซ่อม  VIEW : 142    
โดย หยาดฟ้า

UID : ไม่มีข้อมูล
โพสแล้ว : 795
ตอบแล้ว :
เพศ :
ระดับ : 22
Exp : 88%
เข้าระบบ :
ออฟไลน์ :
IP : 27.55.68.xxx

 
เมื่อ : จันทร์ ที่ 22 เดือน พฤษภาคม พ.ศ.2566 เวลา 22:37:45    ปักหมุดและแบ่งปัน

นักเรียนเลว ถาม นักการเมือง ตอบ เมื่อการศึกษาไทยต้องสอบซ่อม!
นักเรียนเลว ปฏิเสธอย่างไรก็ไม่มีคนเชื่อ หากจะอวยยศระบบการศึกษาไทยว่าดีเลิศประเสริฐศรี เพราะสถานการณ์ในห้วงเวลานี้ช่างค้านสายตา

ไม่เช่นนั้น คงไม่เกิดกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า ‘นักเรียนเลว’ ออกมาตั้งคำถามถึงการเรียน การสอน การปฏิบัติตนของครูบาอาจารย์ การใช้อำนาจนิยมในรั้วโรงเรียน จนถึงนิยามคำว่า ‘เด็กดี’ ที่นับวันเข้าข่ายกลายเป็นคำเสียดสียั่วล้อไม่ต่างจากคำว่า ‘คนดีย์’ เวอร์ชั่นมี ย.ยักษ์ การันต์

ไหนจะประเด็นร้อนในโลกออนไลน์ที่ขยันผุดให้กดไลค์ แห่เมนต์ ไม่เว้นแต่ละวัน ล่าสุด โรงเรียนหญิงล้วนชื่อดังย่านฝั่งธน ออกกฎใหม่ ดีเทลยิบ เรื่องทรงผม ถึงขนาดรูปแบบกิ๊บดำก็ยังขีดเส้นให้เป็นระเบียบเป๊ะเว่อร์ ก่อเกิดกระแสติดแฮชแท็ก #snrfacts เป็นประเด็นร้อนในทวิตเตอร์ เพราะก่อนหน้านี้ทางโรงเรียนได้มีการทำแบบสำรวจความคิดเห็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่อประกาศระเบียบ ว่าด้วยการยกเลิกระเบียบการไว้ทรงผมของนักเรียน พ.ศ.2563 พ.ศ.2566 กระทรวงศึกษาธิการแล้ว จึงเกิดข้อสงสัยหลายประการว่า โรงเรียนได้รับฟังความเห็นของเด็กหรือไม่ กฎที่ออกมาใหม่นั้นไม่ได้แตกต่างจากกฎทรงผมเดิม และการสร้างกติกาเช่นนี้จะเป็นผลดีกับเด็กหรือไม่

ย้อนไปไม่กี่วันก่อนหน้า สปอตไลต์ฉายส่องไปยังแบบเรียนภาษาไทย ‘ภาษาพาที’ ชั้น ป.5 ที่เริ่มจากความอิ่มเอมใจใน ‘ไข่ต้ม’ จนชาวเน็ตร่วมดาวน์โหลดพีดีเอฟอ่านยกเล่ม พบประเด็นร้องจ๊ากหนักมากแทบทุกบท

ว่าแล้ว ในโค้งสุดท้ายในไม่กี่ร้อยเมตร ก่อนเลือกตั้ง 2566 ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า กลุ่มนักเรียนเลว จัดเวที ‘ห้องเรียนรัฐมนตรี Candidate Classroom’ ประชันวิสัยทัศน์พรรคการเมืองเกี่ยวกับนโยบายด้านการศึกษาและสิทธิมนุษยชนภายในโรงเรียน

ตัวแทนจาก 6 พรรคการเมือง เช็กชื่อ ‘มาครับ-มาค่ะ’ กระหึ่มลาน One Arena โครงการ Stadium One ซอยจุฬาลงกรณ์ 6 เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ

เป่ายิงฉุบ ตอบคำถามแบบ ‘ไม่ตายไมค์’ แต่จะได้ใจคนเจเนอเรชั่นไหนก็เป็นอีกเรื่อง

และนี่คือส่วนหนึ่งของดีเบตเน้นๆ ในหลากมิติ หลายคำถาม สารพัดถ้อยคำที่อาจนำไปสู่การตัดสินใจเข้าคูหากาพรรคใดให้การศึกษาไทยเลิกล้าหลัง

⦁‘เด็กดี’ เพราะแค่คลานเข่า?

ถาม-เถียงเมื่อไหร่กลายเป็นนักเรียนเลว?
เริ่มที่คำถามสำคัญ อย่างนิยาม ‘เด็กดี’ ในช่วง The Debate ศึกประชันวิสัยทัศน์ ในคำถามที่ว่า ‘เด็กดี ในทรรศนะของคุณเป็นอย่างไร?’

ณภัทร ชวนรำลึก พรรคชาติไทยพัฒนา เป่ายิงฉุบชนะ ได้ตอบก่อน โดยระบุว่า ไม่มีคำว่า เด็กดี หรือเด็กไม่ดี เด็กก็คือเด็ก หน้าที่ของพรรคการเมืองมีหน้าที่ดูแลประชาชนทุกคน ไม่ได้ดูแลประชาชนแค่คนใดคนหนึ่ง ดังนั้นเราจะไม่แยกว่าประชาชนคนดี ประชาชนคนเลว หรือเด็กดี เด็กไม่ดี

“ไม่ว่าเด็กจะเป็นอย่างไร เรามีหน้าที่ในการรับฟัง เข้าใจและดูแล ไม่ว่ากลุ่มไหนจะแสดงออกแบบไหน เสียงที่เขาพูดออกมาคือเสียงที่เขาต้องการแสดงออก ข้อความที่เขาส่งออกมาคือข้อความความต้องการของเขา ในฐานะนักการเมืองตัวแทนประชาชน สภาคือสภาผู้แทนราษฎร ไม่ใช่สภาคิดแทนราษฎร เขาพูดอะไรมาเรารับฟัง และส่งเสียงเขาให้เป็นที่ได้ยิน เด็กก็คือเด็ก”

ในขณะที่ วรนัยน์ วาณิชกะ ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า มองไม่ต่างกัน ว่าในโลกนี้ไม่มีเด็กดี ไม่มีคนดี ไม่มีผู้ใหญ่ดี คราวก่อนใช้หลักวิทยาศาสตร์มาอธิบาย ครั้งนี้ขอใช้หลักศาสนาอธิบาย

“ไม่มีคนดี ไม่มีคนเลวในโลกนี้ แต่ทุกคนในโลกนี้มีทั้งความดีและความเลวอยู่ในตัว แล้วแต่ว่าเราจะแสดงอะไรออกไป ในบริบทการเมืองมักจะมีความเลวแสดงออกมา เพราะอำนาจมันยั่วยวน อำนาจคือ กิเลสตัณหา อำนาจทำให้คนที่คิดว่าตัวเองดี หรือสังคมคิดว่าดีโดนคอร์รัปชั่นได้ เพราะฉะนั้นในระบอบประชาธิปไตย เราจึงมีการตรวจสอบ เราจึงมีความสมดุลทางอำนาจ เราจึงมีฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล เราตระหนักว่า ไม่มีคนดี ไม่มีคนเลว แต่มีมนุษย์ที่ทำได้ทั้งความดีและความเลว ขึ้นอยู่กับว่าอะไรเป็นกิเลสตัณหายั่วยวน

เพราะฉะนั้น เด็กดี คนดี ผู้ใหญ่ดี มันเป็นเพียงวาทกรรมของโลกมายาสร้างขึ้นมาที่เรียกกลุ่มคน ว่าเด็กดี เพียงเพราะว่า เขาเชื่อฟัง เขาก้มหัวให้ เขายอมทุกอย่าง เขาคลานแทบเท้าคุณ เขาเป็นเด็กดี และคนที่เลวก็คือคนไม่ยอม คนไม่ถาม คนที่ถาม คนที่เถียง” วรนัยน์ตอบแซ่บ

แบบเรียนต้องแก้ หลักสูตรต้องล้าง ‘ศึกษาธิการ’ ต้องรับผิดชอบ!
จากนั้น มาลองฟังวิทัศน์ ที่มีต่อ ‘แบบเรียน’ ของรัฐไทยที่มีประเด็นฮอตให้แชร์สนั่นโลกออนไลน์เพื่อตั้งคำถามถึงความเหมาะสมในศตวรรษที่ 21 โดยในช่วง Fix it แก้ปัญหาให้นักเรียนไทย เหล่าพรรคการเมืองโดนคำถามที่ว่า ‘ถ้ามีโอกาสเปลี่ยนแปลงแบบเรียนภาษาไทย ควรจะเปลี่ยนแปลงไปทิศทางใด อย่างไรบ้าง?’ธิดารัตน์ ยิ่งเจริญ จากพรรคไทยสร้างไทย ตอบเป็นคนแรก โดยกล่าวว่า “ภาษาพาที” เป็นแค่หนึ่งตัวอย่าง เพราะ text book โดยรวมล้วนมีปัญหา วันนี้โลกหมุนไปไกล แต่บทเรียนสอนอย่างล้าสมัย ตีกรอบ ดังนั้น ต้องอัพเดตทั้งความรู้และวิธีการได้มาซึ่งความรู้ให้ไม่จำกัดเพียงในแบบเรียน ไม่เพียงเท่านั้น ควร “ปฏิรูปการศึกษา” ไปเลย

“อย่างแรก คือต้องเน้นการเรียนที่ text book หรือว่าบทเรียนหนังสือเรียนน้อยลง ตอนนี้ความรู้อยู่บนก้อนเมฆ ความรู้อยู่ในอากาศ โดยต้องมีการใช้ความรู้ตรงนี้ ใช้สิ่งที่ถูกอัพเดตให้มากขึ้น แล้วค่อยๆ เปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคที่ต้องใช้เทคโนโลยีเข้าสู่สังคมให้มากขึ้นเรื่อยๆ อย่างที่สองคือ สมมุติเราเข้าไปอยู่กระทรวงศึกษาธิการ 1-2 ปี ในการค่อยๆ เปลี่ยนจะมีบรรยากาศที่อาจารย์และนักเรียนทุกคนสามารถที่จะถกเถียง หารือกันได้ ว่าสิ่งที่นำมาสอนถูกต้องหรือไม่ ตอนนี้สังคมไปถึงไหนแล้ว นักเรียนเห็นด้วย ไม่เห็นด้วย อย่างไร และควรจะมีการปฏิรูปการศึกษาไปเลย แทนที่จะต้องมายึดโยงกับหนังสือ อาจารย์ไม่มีสิทธิที่จะชี้นำว่าเด็กควรจะคิดอย่างไร ให้ใช้ห้องเรียนในการพูดคุยกับนักเรียน ไม่ใช่ว่าหนังสือบอกมาแบบนี้ คิดได้แค่แบบนี้ นอกจากจะพัฒนาผู้เรียนได้แล้ว ยังพัฒนาอาจารย์และสังคมได้ด้วย” ธิดารัตน์ฟันธง

ด้าน กุลธิดา รุ่งเรืองเกียรติ หรือ ‘ครูจุ๊ย’ ผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล ขยี้ปมดังกล่าวว่า อยากถามหาความรับผิดชอบจากกระทรวงศึกษาธิการถึงกระบวนการผ่านตำราเล่มนี้ออกมา ทำไมถึงผ่านการตรวจคุณภาพมาจนถึงมือของผู้บริโภคที่ใช้เงินอุดหนุนของรัฐซื้อได้ เพราะอยู่ในบัญชีหนังสือที่อยู่ในเงินอุดหนุนของรัฐ ภาษาพาที มีเนื้อหาที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ผิดหลักวิทยาศาสตร์ ทั้งยังมี ปัญหาทางอคติที่ค่อนข้างรุนแรง

“บทที่ชื่อว่า สวยร้ายสายลับ พูดเรื่องยุคในอนาคต มนุษย์โคลนนิ่ง แต่ตอนจบมนุษย์โคลนนิ่งที่ถูกเอาศีลธรรมที่ไม่ดียิ่งเข้าไปในหัว เขาจะถูกทำให้ตาย ว่าง่ายๆ คือ คุณสามารถฆ่าคนที่คุณบอกว่าเป็น คนไม่ดี ได้ ซึ่งเราไม่ได้ต้องการให้มีวิธีการคิดแบบขาวดำเช่นนี้ ไม่เหมาะกับพัฒนาการช่วงวัยของเด็ก เขาเติบโตพอที่จะมองเห็นความซับซ้อนของเรื่องศีลธรรมและจริยธรรมแล้ว” กุลธิดากล่าว

อย่างไรก็ตาม ข่าวดีคือ หลักสูตรใหม่กำลังออกมา แต่จริงๆ เราต้องล้างหลักสูตรมานานแล้ว
“นี่ก็เลยเวลามานานแล้ว ถ้ามีหลักสูตรใหม่ อย่างไรหนังสือภาษาพาทีเล่มนี้ก็ไม่ได้ใช้อยู่แล้ว โรงเรียนที่ใช้เล่มนี้อยู่ก็เตรียมที่จะไม่ต้องใช้ ที่สุดแล้วเรากลับมาที่เรื่องงบประมาณ เล่มนี้ยังถูกใช้อยู่ ทั้งๆ ที่ยังมีเล่มอื่นที่โรงเรียนสามารถใช้ได้ แต่ว่าติดที่งบประมาณ เพราะมันผลิตจำนวนมากและราคาถูกที่สุด โรงเรียนก็เลือกใช้ไปโดยปริยาย รวมกับความเคยชินที่มีมา” ครูจุ๊ยระบุ

ถกสุดเสียง เถียงสุดตัว ปม ‘หยก’ วัย 15 การเมืองปั่นกระแสรังแกเด็ก?
อีกประเด็นที่เวทีนี้ไม่มีพลาด คือ เรื่องราวของ หยก เยาวชนหญิงวัย 15 ที่ถูกกล่าวหา ว่าเป็น นักเรียนเลว ในคดีอาญามาตรา 112 โดยขณะนี้พำนักอยู่ที่สถานแรกรับฯ “บ้านปรานี” จังหวัดนครปฐม “จากกรณีการจับกุม หยก นักกิจกรรมอายุ 15 ปี เป็นปัญหาของกระบวนการยุติธรรมหรือไม่?”

นายแพทย์วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคไทยภักดี กล่าวว่า ขอเล่าให้ทุกท่านได้รับทราบ คดี มาตรา 112 นั้น เป็นคดีที่มีเหตุมีผลในแต่ละสถานการณ์ ต้องยอมรับว่าตั้งแต่มีกระบวนการล้มล้างการปกครอง เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2563 เป็นต้นมา กระบวนการต่างๆ เหล่านี้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น

“สิ่งที่เกิดขึ้นกับน้องหยก ผมต้องถามว่าน้องหยกเขาทำอะไร ผมเชื่อว่าสถานการณ์ ณ ตอนนี้ การตรวจสอบมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น ใครจะทำอะไรก็แล้วแต่ การตรวจสอบชัดเจน แต่มันมีขบวนการ Propaganda (โฆษณาชวนเชื่อ) ให้เด็กทำ และผู้ใหญ่มารณรงค์ว่าเด็กถูกรังแก ผมถึงบอกว่าเรื่องของน้องหยกมีหลักฐานยืนยัน และข้อความผมมี แต่ไม่ต้องการเปิดเผย ถ้าอยากจะอ่านก็ให้มาอ่าน แต่ยืนยันว่ามีหลักฐาน เป็นการกล่าวหาในสิ่งที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง เขาจึงต้องถูกดำเนินคดี เพียงแต่ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังพยายามมารณรงค์ องค์กรต่างประเทศก็พยายามรณรงค์ว่าเด็กถูกรังแก เพราะการเอาเด็กมาเป็นเครื่องมือ มันเป็นเหยื่ออันโอชะของต่างชาติ ที่มองว่าประเทศไทยใช้กฎหมายไม่ชอบ” นายแพทย์วรงค์ชี้

นายแพทย์วรงค์ ยืนยันด้วยว่า ขณะนี้ประเทศไทยใช้กฎหมายถูกต้อง ชอบธรรม เพียงแต่คนกลุ่มหนึ่งหวังผลประโยชน์จากเด็ก

“คำถามถามว่า แล้วทำไมพวกคุณไม่ไปดำเนินการประกันตัว เท่าที่ผมตรวจสอบข้อมูลเชิงลึก จนป่านนี้ยังไม่มีการดำเนินการประกันตัว เพราะหวังเอาผลที่เด็กอยู่ในสถานพินิจมาปั่นกระแสให้คนเข้าใจผิด แต่ในความเป็นจริง วันนี้เขากำลังหลอกลวงพี่น้องประชาชนว่าเด็กถูกรังแก แต่ความจริงแล้วเด็กทำผิด นี่คุณกำลังละเมิดสิทธิเด็ก เอาเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีมาเป็นเครื่องมือทางการเมืองอย่างนี้ สร้างความเสียหายต่อชาติบ้านเมือง ไทยภักดีจึงยอมไม่ได้โดยเด็ดขาด” นายแพทย์วรงค์กล่าว

ประเด็นนี้ ธีราภา ไพโรหกุล คณะทำงานด้านนโยบาย พรรคเพื่อไทย โต้ว่า ประเด็กแรก ไม่เห็นด้วยกับคุณหมอวรงค์อย่างชัดเจน การที่บอกว่าเอาเด็กมาเป็นตัวประกันทางการเมือง คิดว่าไม่ถูกต้องแน่นอน การที่เด็กออกมาแสดงความคิดเห็น นั่นคือเสรีภาพของเขาที่ชัดเจนมาก ซึ่งการที่ถูกจับกุมไม่ได้ประกันตัวออกมา ไม่ใช่เรื่องของการที่พรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งใช้เด็กเป็นเครื่องมือ แต่เกิดจากกระบวนการยุติธรรมที่ซับซ้อน ไม่ยอมให้เด็กที่ถูกจับได้ออกมา จึงไม่เห็นด้วยในประเด็นแรก

ประเด็นที่ 2 เรื่องข้อความที่น้องหยกออกมาเขียน ไม่ว่าจะเขียนอย่างไร นั่นคือเสรีภาพที่จะแสดงความคิดเห็น

“ที่สำคัญ ไม่ใช่น้องคนเดียวที่ออกมาเขียน ฝั่งตรงข้ามเองก็ออกมาเขียนอะไรที่ด่าทอเด็กเช่นเดียวกัน ฉะนั้น ทำไมคนเหล่านั้นถึงไม่ถูกจับดำเนินคดีเหมือนกัน ตรงนี้จุดยืนของเขาเห็นต่าง และเพื่อไทยก็เห็นต่างในจุดนี้เช่นกัน

สรุป
เราคิดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุด ณ วันนี้ก็คือ เราหยุดวาทกรรมเถอะ ที่บอกว่าเอาเด็กมาเป็นเครื่องมือทางการเมือง เราต้องสนับสนุนสิทธิเสรีภาพของเด็กในการแสดงความเห็นของเขาออกมาให้เต็มที่ และการคิดเห็นนั้นจะต้องไม่ทำให้เขาถูกจับอีกต่อไป” น.ส.ธีราภากล่าว

จากนั้น นายแพทย์วรงค์ ใช้สิทธิพาดพิงเพื่อกล่าวโต้แย้งว่า ธีราภา อาจไม่เข้าใจ ระหว่างการเขียนวิจารณ์ประมุขแห่งรัฐ กับประชาชนทั่วไป

“จะเอามาเปรียบเทียบกันไม่ได้ แสดงว่าแค่นี้ก็ไม่เข้าใจแล้ว…การที่จะมาปกป้องคุ้มครองเด็ก ที่ว่าถูกรังแก ถามว่าเด็กเขียนอะไรรู้ไหม ยังไม่รู้แล้วมาปกป้อง น้องก็ท่องเป็นนกแก้วนกขุนทองเท่านั้นเอง เราเห็นด้วยว่าทุกคนต้องการสิทธิเสรีภาพแต่ต้องรู้จักหน้าที่ รู้จักความรับผิดชอบ เข้าใจไหม มันมีความตั้งใจไม่ไปประกันตัว ผมพยายามสืบข้อมูลเชิงลึก ไม่ไปประกันตัวเพราะมีความตั้งใจ ถ้าไปประกันตัวเขาปล่อยทันที จบ” นายแพทย์วรงค์กล่าว

ธีราภา โต้กลับทันทีว่า ‘ไม่ใช่ไม่เข้าใจ’ แต่สิ่งที่ตนเข้าใจคือสิทธิมนุษยชนพื้นฐานตามหลักสากล

“ที่บอกว่าองค์กรทางสิทธิมนุษยชนมาใช้เด็กเป็นเครื่องมือ อันนี้ก็ไม่ใช่ สิทธิมนุษยชนก้าวหน้ากว่าเราไปมาก พูดจริงๆ เพราะว่าเรายังคิดอยู่กรอบของเรา ถึงไม่สามารถเข้าได้กับสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานของสากลได้” ธีราภาสวนทันควัน

14 พฤษภาคมนี้ อีก 48 ชั่วโมงข้างหน้า จะเลือกพรรคไหนเพื่อการศึกษาไทยที่ดีกว่า ผู้ชี้ชะตาคือตัวคุณเอง

อ้างอิง
https://www.matichon.co.th

https://have-a-look.net/2023/05/13/%e0%b8%99%e0%b8%b1%e0%b8%81%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b9%80%e0%b8%a1%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%87-%e0%b8%95%e0%b8%ad%e0%b8%9a%e0%b8%84%e0%b8%b3%e0%b8%96%e0%b8%b2%e0%b8%a1-%e0%b8%88%e0%b8%b2%e0%b8%81/





วิทยาลัยเทคโนโลยีโซ่พิสัย
237 หมุู่ 8 ต.คำแก้ว อ.โซ่พิสัย จ.บึงกาฬ 38170 โทรศัพท์ 042-086002 โทรสาร 042-086002