รีวิวเกม Final Vendetta โคลนนิ่งตำนานเกมต่อยตียุค 90S
ในช่วงต้นยุค 90S เกมแนวต่อยตีให้หมดหรือที่เรียกว่าแนว Beat ’em up โดยเกมที่โดดเด่นมีทั้ง Final Fight, ซีรีส์ คุนิโอะ และ Double Dragon ล้วนประสบความสำเร็จขายดีจนมีการสร้างภาคต่อภาคใหม่มาตลอด แม้ว่าในช่วงต้นยุค 2000S มันอาจจะไม่ได้รับความนิยมเหมือนเดิมแล้ว แต่ด้วยกระแสเกมย้อนยุคกลับมาทำให้มีการขุดเอาซีรีส์เก่ามาขายใหม่กันตลอด
ล่าสุดกับการมาของ Final Vendetta ที่เหมือนเป็นการเดินตามรอยตำนานอย่าง Final Fight แบบตรง ๆ ทั้งกราฟิกและรูปแบบการเล่นที่มาแนวต่อยตีศัตรูให้หมดฉาก ที่มาพร้อมภาพแบบย้อนยุคและวางขายบนคอนโซลยุคปัจจุบันอย่าง PS4, PS5, XBoxone, Nintendo Switch และ PC แม้ว่าจะไม่ได้มาจากค่ายยักษ์ใหญ่อะไรแต่ด้วยแนวทางที่บอกตรง ๆ ว่าเป็นการโคลนนิ่งตำนานเกมยุค 90S ทำให้มันเตะตาคอเกมได้ไม่ยาก อย่างไรก็ตามในอดีตมันเคยมีเกมชื่อ Vendetta ออกมาแล้ว แต่เกมนี้ไม่ใช่ภาคต่อและสร้างโดยคนละทีมงาน
โดยเรื่องราวในเกมจะเริ่มที่ แก๊งอันธพาล “Syndic8” ได้ลักพาตัวน้องสาวของ Claire Sparks ตัวละครหลักของเกมไป และเธอต้องออกไปต่อกรกับเหล่าร้ายพร้อมกับ นักมวยปล้ำอาชีพที่้้เลิกเล่นไแล้วอย่าง Miller T. Williams และ Duke Sancho นักสู้ข้างถนน เพื่อช่วยเหลือน้องสาวจากแก๊ง Syndic8 ในฉากหลังที่เป็นเมืองจริง ๆ อย่าง ลอนดอนที่เหมือนหลุดมาจากยุค 90S
กราฟิกเหมือนเกมอาเขตย้อนยุค
ด้วยความตั้งใจของทีมงานที่อยากให้มันมาแนวย้อนยุค ทำให้ภาพมันแทบจะถอดแบบมาจาก Final Fight เวอร์ชันอาเขตแบบจัดเต็มที่มาแบบพิกเซลที่ใส่รายละเอียดไปพอสมควร และมีการเลื่อนไหวของตัวละครที่ลื่นไหลพอประมาณเท่าที่กราฟิกแนวนี้จะใส่เข้าไปได้แล้ว เสียดายที่งานออกแบบตัวละครหลักไม่ดี ตัวละครที่เป็นศัตรูธรรมดายังดูโดดเด่นกว่าตัวเอกเลยด้วยซ้ำ ทำให้น่าเสียดายมาก
ส่วนเพลงประกอบก็มาแนวทางเดียวกับภาพที่มาแนวย้อนยุค แต่ก็ไม่ได้เชยมากมีการใส่ดนตรีสมัยใหม่เข้าไปในบางส่วน และยังเสริมด้วย เพลงประกอบจากวง Utah Saints! ที่พอจะทำให้ดนตรีประกอบของเกมมีความโดดเด่นและแตกต่างจากเกมที่มาจากค่ายเล็ก ๆ ได้พอสมควร อย่างไรก็ตามมันก็ไม่มีเสียงพากย์เพื่อเล่าเรื่อง ก็เข้าใจได้ว่ามันมาแนวย้อนยุคและประหยัดงบการสร้างด้วย
ขอบคุณรูปภาพจาก : beartai.com
รูปแบบการเล่นต่อยตีล้วน ๆ
ส่วนที่เป็นทั้งข้อดีและข้อเสียของ Final Vendetta คือรูปแบบการเล่นที่เดินตามรอยรุ่นพี่อย่าง Final Fight ที่มาแนว Beat ’em up หรือที่ต้องกำจัดศัตรูให้หมดฉากด้วยการต่อยตี ถึงจะผ่านไปได้ ที่ข้อดีของมันคือผู้สร้างพยายามสร้างให้เหมือนกับต้นแบบมากที่สุด ทำให้ความคลาสิกของมันจัดเต็มมาก ไม่ว่าจะเป็นระบบต่อสู้ที่เข้าใจง่าย มีแต่การโจมตีหลักคือการต่อยเตะ ที่ใช้ไม่กี่ปุ่มเท่านั้น
และยังมาพร้อมกับท่าโจมตีที่เรียบง่ายทั้งการจับทุ่ม กระโดดเตะ และยังมีท่าไม้ตายสุดยอดที่สามารถโจมตีศัตรูรอบ ๆ ตัวผู้เล่นได้พร้อมกัน แต่จะเสียค่าพลังชีวิตอย่างไรก็ตามใน Final Vendetta จะมีการสะสมค่าพลังไว้ใช้ท่าพิเศษได้โดยไม่ต้องเสียพลังชีวิต และยังมีระบบอาวุธที่มีทั้งดาบหรือมีดมาให้ใช้งาน ส่วนระบเติมพลังจะเก็บของกินที่ตกพื้นอยู่ และแน่นอนว่ามันสามารถเล่นกับเพื่อนได้ 2 คนพร้อมกันด้วย ซึ่งทั้งหมดเป็นแนวทางของเกมแนว Beat ’em up ในยุค 90S นิยมใช้กัน
ไม่มีอะไรใหม่ ของเดิมก็สู้ต้นฉบับไม่ได้
การสร้างเกมโดยอิงตามต้นฉบับที่เคยได้รับความนิยมในอดีตเป็นเรื่องดี แต่ก็ควรจะเพิ่มอะไรใหม่ให้เข้ากับยุคสมัยบ้าง ใน Final Vendetta มีข้อเสียหลัก ๆ คือการที่เกมเพลย์ไม่สนุกเท่ากับต้นฉบับที่มันพยายามจะเลียนแบบอย่าง Final Fight เพราะแอ็กชันดูจืดเกินไป ท่าไม้ตายก็น้อยศัตรูก็ไม่หลากหลาย และที่ดูด้อยคือความยากที่แม้แต่ศัตรูธรรมดาก็อัดเรานอนสลบได้ง่าย ๆ แถมยังไม่มีระบบ Continued มาให้แม้จะมีจำนวนตัวให้มากพอสมควร และเลือกระดับความยากได้แต่ด้วยความยากก็ทำให้คอเกมรุ่นใหม่หัวร้อนได้ ส่วนเสริมเล็กน้อยที่มีไว้เล่นได้เพลิน ๆ คือโหมด Survival และโหมดต่อสู้กับบอส
ความจริงแล้ว แม้จะมาแนวทางย้อนยุคผู้สร้างก็สามารถใส่สิ่งใหม่ ๆ เข้าไปได้ยกตัวอย่างเกมที่เพิ่งออกไปอย่าง Teenage Mutant Ninja Turtles Shredder’s Revenge ที่หยิบเอานินจาเต่าแบบ Beat ’em up มาและได้เพิ่มสิ่งใหม่ ๆ เข้ามาเช่นตัวละครที่ดูแปลกตา และท่าไม้ตายเทพ ๆ รวมทั้งระบบการเล่นของเกมยุคใหม่เข้าไปเสริมให้มันสนุกและไม่เชย แต่สิ่งเหล่านี้ไม่มีใน Final Vendetta ทำให้น่าเสียดายมาก
โดยรวมแล้วเกม Final Vendetta ถือเป็นจดหมายรักของแฟนเกมแนวต่อยตีในยุค 90S ที่ทำออกมาได้ดีในระดับน่าพอใจ แต่หากเทียบความสนุกแล้วไม่สามารถเทียบกับต้นฉบับได้ บอกตรง ๆ ว่าไปหยิบเอาเกมเก่ามาเล่นยั
ติดดตามข่าวสารวงการเกมและอื่นๆ ได้ที่ : inwesport
ขอบคุณแหล่งที่มาจาก : beartai.com
ลิงค์รูปภาพ :
1. ภาพจาก : beartai.com
2. ภาพจาก : beartai.com