เกาะติดนโยบายหาเสียง คลังแย้มรัฐบาลใหม่กู้ได้อีก 1.5 ล้านล้าน
“คลัง”ตามติดนโยบายหาเสียงของพรรคการเมืองอย่างใกล้ชิด คำนวณเม็ดเงินที่ใช้หลังเข้ามานั่งบริหารประเทศ ชี้รัฐบาลใหม่ยังสามารถกู้เงินมาใช้จ่ายเพิ่มได้อีก 1.5 ล้านล้านบาท จากปัจจุบันหนี้สาธารณะอยู่ที่ 10.72 ล้านล้านบาท หรือ 61.13% ของจีดีพี ยังมีเพดานกู้ได้เพิ่มถึง 70% ของจีดีพี
ผู้สื่อข่าวรายงานจากกระทรวงการคลังว่า กรณีพรรคการเมืองต่างๆ ได้ออกนโยบายหาเสียง ส่วนใหญ่ต้องใช้งบประมาณดำเนินงานจำนวนมากนั้น กระทรวงการคลังได้ติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง โดยหากรัฐบาลชุดใหม่ต้องการเงินเพื่อทำนโยบายหาเสียงจำนวนมากนั้น อาจต้องใช้วิธีการกู้หรือออก พ.ร.ก.เงินกู้ฉบับใหม่ขึ้นมา ซึ่งปัจจุบันสถานการณ์คลังของรัฐบาลยังมีความมั่นคง โดยมีระดับหนี้สาธารณะอยู่ที่ 10.72 ล้านล้านบาท คิดเป็น 61.13% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) แต่หากรัฐบาลต้องการกู้เพิ่ม จะมีเพดานหนี้ให้กู้ได้ถึง 70% ของจีดีพี ซึ่งจะทำให้มีความสามารถกู้ได้อีก 1.5 ล้านล้านบาท เพื่อให้เต็มเพดาน
ทั้งนี้ ตามวัตถุประสงค์และเหตุผลที่ต้องการกู้เงินมีดังต่อไปนี้ 1.ชดเชยการขาดดุลงบประมาณหรือเมื่อมีรายจ่ายสูงกว่ารายได้ 2.พัฒนาเศรษฐกิจและสังคม 3. ปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะ 4.ให้หน่วยงานอื่นกู้ต่อ 5.พัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ การกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณหรือเมื่อมีรายจ่ายสูงกว่ารายได้สําหรับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณใด ให้กระทรวงการคลังกู้เป็นเงินบาทไม่เกินวงเงิน 20% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้นและงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม และอีก 80% ของงบประมาณรายจ่ายที่ตั้งไว้สําหรับชําระคืนเงินต้น และจะต้องเป็นการกู้เพื่อนำไปในโครงการลงทุนในโครงการที่เป็นการพัฒนาประเทศ ทั้งนี้หากรัฐบาลต้องการกู้ในช่วงนี้ ภาระต้นทุนของการกู้อาจขยับขึ้นเล็กน้อย ตามการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยและอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ปรับสูงขึ้น
สำหรับฐานะการคลังของรัฐบาลตามระบบกระแสเงินสดในครึ่ง
ปีงบประมาณ2566 (ต.ค.65-มี.ค.66) รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลังทั้งสิ้น 1.16 ล้านล้านบาท ขณะที่การเบิกจ่ายเงินงบประมาณทั้งสิ้น 1.79 ล้านล้านบาท โดยรัฐบาลได้กู้เงินเพื่อชดเชยขาดดุล 294,505 ล้านบาท ส่งผลให้เงินคงคลัง ณ สิ้นเดือน มี.ค.66 มีทั้งสิน 193,585 ล้านบาท
ส่วนผลการจัดรายได้ 6 เดือน ของปี งบประมาณ (ต.ค.65-มี.ค.66) รัฐบาลสามารถจัดเก็บรายได้ 1,163,599 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการเอกสารงบประมาณ 95,084 ล้านบาท หรือ 8.9% และสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 6.9% โดยหน่วยงานที่จัดเก็บรายได้สูงสุด คือ กรมสรรพากร จัดเก็บรายได้ 915,222 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อน 62,521 ล้านบาท ซึ่งเป็นจากเศรษฐกิจฟื้นตัว ทำให้จัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เช่นเดียวกับกรมศุลกากร จัดเก็บรายได้ 63,322 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14,282 ล้านบาท การนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจ 79,429 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13,057 ล้านบาท เช่นกัน ขณะที่การจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพสามิต 237,640 ล้านบาท ลดลง 38,812 ล้านบาท เป็นผลจากการปรับลดราคาน้ำมันดีเซล เพื่อช่วยลดค่าครองชีพของประชาชนเป็นการชั่วคราวจนถึง 20 ก.ค.66 นี้.
ขอบคุณรูปภาพจาก : thairath.co.th
ขอบคุณแหล่งที่มา : thairath.co.th
ติดตามข่าวสารได้ที่ have-a-look.net